หากเปรียบเทียบรูปแบบความสัมพันธ์แบบคนรักเป็น 2 ขั้ว ด้านหนึ่งเป็นความสัมพันธ์แบบ one night stand หรือการมีเพศสัมพันธ์กับคนแปลกหน้าแบบข้ามคืน โดยไม่มีความสัมพันธ์ต่อเนื่องอีก กับอีกสุดขั้วด้านหนึ่งเป็นความสัมพันธ์แบบคู่รักที่คบหาดูใจกันระยะยาว ความสัมพันธ์แบบ friends with benefits จะเป็นความสัมพันธ์ที่อยู่กึ่งกลางของความสัมพันธ์ทั้ง 2 ขั้ว
วัยรุ่นในยุคปัจจุบันมีการคบกันด้วยความสัมพันธ์แบบนี้จำนวนมาก และนับวันจะมากขึ้นเรื่อยๆ ปฏิเสธไม่ได้ว่า ความสัมพันธ์ที่ว่า ถ้าเป็นชายกับหญิง มันมีแนวโน้มว่า ฝ่ายชายจะได้เปรียบในความสัมพันธ์แบบนี้ แต่การที่ฝ่ายหญิงยอมรับความสัมพันธ์แบบนี้กับฝ่ายชายมากขึ้น มันแสดงให้เห็นว่า สังคมไทยได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วจากในอดีต ทั้งค่านิยมในสังคม ความเชื่อ ขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม รวมไปถึง ความเชื่อในเรื่องความเท่าเทียมกันระหว่างชายและหญิง
ในส่วนของความสัมพันธ์แบบนี้ กับกลุ่ม LGBTQ กลับเป็นความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นมาก่อนหน้าชายหญิงเสียอีก และถือเป็นเรื่องปกติของคนที่มีความสัมพันธ์กับเพศเดียวกันที่จะเน้นความเข้ากันได้ในเรื่องเพศ และบทบาททางเพศ ก่อนการคบหาดูใจกันระยะยาว
ความสัมพันธ์ระหว่างเพศเดียวกัน เช่น เกย์ นั้น จะมีเรื่องบทบาทของฝ่ายที่มีฝ่ายรุกฝ่ายหนึ่ง และฝ่ายรับอีกฝ่ายหนึ่ง (ต่างจากชายหญิง ที่มีบทบาทชัดเจนจากเพศกำเนิด) การทดลองมีเพศสัมพันธ์กันก่อน จึงถือเป็นเรื่องปกติในกลุ่มเกย์ เพราะหากมีความเข้ากันไม่ได้ในความสัมพันธ์ เช่น เป็นฝ่ายรุกเหมือนกัน หรือ ฝ่ายรับเหมือนกัน ความสัมพันธ์ระยะยาว ย่อมอาจมีปัญหา
ผลกระทบที่ตามมาจากการมีความสัมพันธ์แบบนี้ ไม่ว่าจะเป็น ชายหญิง หรือ LGBTQ อาจจะทำให้ความสัมพันธ์เกิดความพัวพันและมีความซับซ้อนยิ่งขึ้น หรือหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเริ่มหวั่นไหวหรือตกหลุมรักขึ้นมาจริงๆ ในขณะที่อีกฝ่ายไม่ได้รู้สึกทำนองเดียวกัน ย่อมก่อให้เกิดอารมณ์ทางลบทั้งความรู้สึกผิดหวัง เจ็บปวดหรือหึงหวงตามมาอีกด้วย
สำหรับในเมืองไทย แม้การศึกษาวิจัยเรื่องทางเพศและความสัมพันธ์ยังเป็นสิ่งที่ค่อนข้างจำกัดและละเอียดอ่อน แต่เราไม่อาจปฏิเสธได้ว่า คนในวัยหนุ่มสาวเริ่มมีรูปแบบความสัมพันธ์ดังกล่าวมากยิ่งขึ้น จึงจำเป็นที่ทุกคนจำต้องพิจารณาถึงผลดี และผลเสียให้ถี่ถ้วน