รู้หรือไม่ !!! ปัญหาหมอกควันภาคเหนือมาจาก "พื้นที่ป่า" กว่า 65%
ปัญหาฝุ่นพิษในภาคเหนือเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องการการบูรณาการแก้ปัญหาอย่างรอบด้านจากทุกภาคส่วน หาใช่การโยนความผิดให้ใครคนใดคนหนึ่ง เพราะต้องยอมรับว่าเราทุกคนล้วนเป็น “ผู้ร้าย” ที่ทำให้เกิดมลพิษทางอากาศไม่ทางใดก็ทางหนึ่งทั้งสิ้น
ล่าสุด นักวิชาการระดับแถวหน้าของประเทศไทยอย่าง ศ.ดร.มิ่งสรรพ์ ขาวสอาด ได้ออกมาให้ข้อเสนอที่น่าสนใจ โดยอ้างอิง “รายงานสถานการณ์และข้อเสนอเชิงนโยบายเกี่ยวกับการเผาในที่โล่งในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านระหว่างปี 2562-2564 โดยคณะทำงานวิชาการเฉพาะกิจ เพื่อจัดทำข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการบริหารจัดการไฟป่าและการเผาในที่โล่ง เพื่อสนับสนุนการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ภายใต้สำนักงานบริหารนโยบายของนายกรัฐมนตรี” ที่ทำให้เห็นแนวทางแก้ปัญหาได้ชัดเจนมากขึ้น ขออนุญาตคัดบางช่วงบางตอนมากล่าวถึง
โดยภาคเหนือตอนบน ที่สามารถระบุสถานที่และเวลาของการเผาได้อย่างชัดเจนไว้ด้วย ขณะเดียวกัน คณะทำงานดังกล่าว ยังได้วิเคราะห์พื้นที่เผาซ้ำซากรวมทั้งสิ้น 9.7 ล้านไร่ พบว่าเป็นการเผาพื้นที่ในป่าถึงร้อยละ 65 เป็นนาข้าวร้อยละ 22 เป็นข้าวโพดเพียงร้อยละ 6 และเกษตรกรรมอื่นๆ ร้อยละ 3 ส่วนไร่อ้อยมีสัดส่วนเพียงร้อยละ 2
ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลจาก สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA ที่ระบุว่าจุดความร้อนใน 17 จังหวัดภาคเหนือ ช่วงมกราคม-มีนาคม 2566 พบว่า ในป่าอนุรักษ์ มีจุดความร้อนเกิดขึ้นในพื้นที่ป่าถึง ร้อยละ 95.6 ส่วน ในพื้นที่เกษตร มีจุดความร้อนในพื้นที่นาข้าวร้อยละ 56.6 พื้นที่พืชเกษตรอื่นๆ ร้อยละ 20.8 พื้นที่ปลูกอ้อย ร้อยละ 10.8 และ มีจุดความร้อนในพื้นที่ไร่ข้าวโพดหมุนเวียน เพียงร้อยละ 10.7
ข้อมูลทั้งสองชุดดังกล่าวแสดงให้เห็นชัดเจนถึงแหล่งเผาที่เกิดขึ้น และสังเกตได้ว่า “พื้นที่เกษตรที่มีการปลูกข้าวโพด” มีการเผาเพียงร้อยละ 10.7 ดังนั้น หากพุ่งเป้าจ้องจับผิดแค่เพียงการปลูกข้าวโพดอย่างเดียว อาจทำให้ผิดประเด็นจนทำให้การแก้ปัญหาไม่ตรงจุด และไม่สามารถแก้ฝุ่นพิษนี้ได้สำเร็จ
หยุดทำร้ายเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดในประเทศว่าเป็นผู้ก่อให้เกิดปัญหาหมอกควันสักที
https://www.facebook.com/watch/?v=796959978454600












