คำด่าที่เจ็บแสบตั้งแต่โบราณ และคำด่าที่เป็นอมตะมาจนถึงวันนี้
คำด่าที่เจ็บแสบตั้งแต่โบราณ และคำด่าที่เป็นอมตะมาจนถึงวันนี้
คนผิดใจกัน ไม่พอใจกันก็มีการกระทบกระทั่ง หนักข้อหน่อยก็ถึงขั้น “ด่า” คำที่ด่ากันก็มีทั้งด่าตรงๆ เจ็บไม่ต้องแปล, ด่าอ้อมๆ ให้กลับได้แค้นที่บ้าน ฯลฯ
แต่วันนี้เราจะมาดูว่า คนสมัยก่อนเค้าด่ากันอย่างไร
เริ่มจากสมัยอยุธยาหลักฐานคำด่าที่เราพบในเอกสารสมัยอยุธยาคือ “พระไอยลักษณวิวาทด่าตีกัน” มาตรา 36 เช่น ไอ้ (อี) ขี้ตรุ ขี้เมา ขี้ฉ้อ ขี้ขโมย ขี้ข้า ขี้ครอก ฯลฯ ไปจนถึง ...ทอง
คำด่าพวกนี้น่าจะเป็นเพียงตัวอย่างที่ท่านนำมาอ้างในกฎหมายเท่านั้น ในชีวิตจริงคงมีการประดิษฐ์ถ้อยคำสำนวนกันตามใจชอบเท่าที่จะสะใจคนด่า
ใน “ขุนช้างขุนแผน” นางวันทองด่านางลาวทอง ซึ่งเป็นคนเชียงใหม่ ในทำนองเหยียดหยามชาติกำเนิดว่า “ทุด...ชาวดอนค่อนเจรจา อีกินกิ้งก่ากินกบจะตบมัน”
พจนานุกรม อักขราภิธานศรับท์ ของหมอบรัดเลย์ ซึ่งพิมพ์เมื่อปี พ.ศ. 2416 สมัยต้นรัชกาลที่ 5 มีบรรจุคำด่าสมัยนั้นไว้ไม่น้อย ในหมวด “ไอ้” “อ้าย” และ “อี”
คำจิกหัวเรียกว่า “อี” นั้น มีคำอธิบายว่า “เปนคำหยาบสำหรับเรียกชื่อหญิงคนยาก, ที่เปนหญิงทาษีนั้น”
ส่วน “ไอ้” หรือ “อ้าย” อธิบายว่า “…เดี๋ยวนี้เขาเรียกชื่อผู้ชายเปนทาษเปนต้น” ความหมายที่หนังสือเล่มนี้ไม่ได้ไว้ก็คือ ที่จริงแล้วคำว่า “ไอ้” (หรือ “อ้าย”) หรือ “อี” นั้นในสมัยก่อนยังใช้เป็นคำเรียกคนที่ต้องโทษด้วย
ตัวอย่างคำด่าในอักขราภิธานศรับท์ ที่ซ้ำหรือใกล้เคียงกับในพระไอยลักษณวิวาทด่าตีกัน เช่น “...ทอง” “ไอ้บ้า” “ไอ้ชาติข้า” “อีขี้ข้า” “อีร้อยซ้อน” ส่วนมากนอกนั้นล้วนเป็นคำใหม่ๆ ที่คนเรียบเรียงพจนานุกรมฉบับนี้ไปรวบรวมมาจำนวนหนึ่งจากภาษาชาวบ้านร้านถิ่น
บางคำถ้าเอามาใช้ในยุคนี้น่าจะไม่เข้าใจกันแล้ว เช่น “อีแดกแห้ง” “อีร้อยซ้อน” “อีทิ้มขึ้น” เป็นต้น แต่ก็มีอีกหลายคำที่ยังคงเป็นที่เข้าใจหรือยังใช้กัน เช่น “อีผีทะเล” “อีชาติชั่ว” “อีเปรต” “ไอ้ถ่อย” “ไอ้ระยำ” “ไอ้จังไร”
แต่ที่เป็นอมตะมาตลอดก็คือ “...ทอง” ส่วน “อีห่าฟัด” (หรือ “ไอ้ห่าฟัด” รวมไปถึงคำตระกูล “ห่า” ทั้งหลาย ที่ไม่ได้ถูกรวมไว้ในอักขราภิธานศรับท์ เช่น “ห่าจิก” “ห่าราก” “ห่ากิน”) คนชนบทรุ่นเก่าๆ ยังใช้กันอยู่







