"ส.ว.อุปกิต" แจงกรณี "ทุน มิน ลัต" ตั้งข้อสงสัย "พ.ต.ท.มานะพงษ์" เชื่อมโยงก้าวไกล เชื่อหวังดิสเครดิต
นายอุปกิต ปาจรียางกูร สมาชิกวุฒิสภา หรือ ส.ว. ระบุว่าสื่อบางสื่อ และรังสิมันต์ โรม โฆษกพรรคก้าวไกล ทำให้ประชาชนเข้าใจผิดตัดสินไปแล้วว่าตนผิด ซึ่งตอนแรกตนคิดว่า เรื่องนี้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมไปแล้วจึงมีความเชื่อมั่นและจะไม่ละเมิดก้าวล่วง โดยจะกล่าวถึงคดีของนายทุน มิน ลัต ลูกเขยของตน ตามหมายจับวันที่ 9 ก.ย. 2565 และบันทึกการจับกุมวันที่ 19 ก.ย. 2565 ซึ่งระบุว่า นายทุน มิน ลัต มีพฤติกรรมหลบหนีมาอยู่บ้านพักซอยสุขุมวิท 69 ทั้งที่เป็นบ้านของตน และมีชื่อตนเป็นเจ้าของ โดยลูกเขยของตนได้พักอาศัยที่บ้านมันมานานแล้ว และในขณะจับกุมก็ได้เดินเล่นกับลูกซึ่งเป็นหลานของตน หากตนเป็นคนที่มีอิทธิพลอย่างที่เขาว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจคงช่วยตนแล้วไม่ปล่อยให้ลูกเขยของตนต้องอยู่ในคุกถึง 7 เดือน พร้อมกล่าวทั้งน้ำตาว่า ท่านไม่เคยมีลูกหลานอยู่ในคุก ไม่รู้หรอกว่า หลานของผมร้องไห้เกือบทุกวัน และลูกสาวของผมโทรหาผม แต่ผมก็ช่วยอะไรเขาไม่ได้
นายอุปกิต ยังบอกถึงกรณีที่ถูกเชื่อมโยงว่าเกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.มานะพงษ์ วงศ์พิวัฒน์ อดีต สว.กก.2 บก.สส.บช.น. ถูกสั่งย้าย โดนยืนยันว่า การย้าย พ.ต.ท.มานะพงษ์ นั้นเป็นการย้ายประจำรอบ และโดนย้ายเนื่องจากไม่มีผลงานใน 3-4 เดือน อีกทั้งเป็นการการย้ายในตำแหน่งที่เท่าเดิม ไม่มีการลงโทษ แล้วจะมากล่าวหาว่าตนไปทำอย่างโน้นอย่างนี้ได้อย่างไร หากตำรวจจะช่วยตนจริง คงช่วยไปตั้งแต่วันที่ลูกเขยของตนโดนจับแล้ว ส่วนในเรื่องกรณีที่นายรังสิมันต์ โรม ออกมาอภิปรายในสภา และโจมตีเรื่องการเพิกถอนหมายจับทั้งที่มีการออกหมายจับในวันเดียวกัน นายอุปกิต บอกว่า หนึ่งในเหตุผลที่ใช้ออกหมายจับนั้นพบว่า มีการตกแต่งข้อความแชท เช่น การพูดเรื่องโรงปูนที่ตนโดนทางพม่าโกง จึงพูดคุยเพื่อช่วยให้มีการประสานผ่านเอกอัครราชทูตไทย แต่กลับกลายเป็นว่า ตนพูดเรื่องธุรกิจไฟฟ้า และกล่าวหาว่า เลือกใช้บริการโอนเงินโดยที่ไม่ได้รับอนุญาต และผิดกฎหมาย
นายอุปกิต ยังบอกถึงธุรกิจการซื้อขายไฟฟ้าซึ่งตนทำมากว่า 10 ปีว่า ภายหลังการก่อสร้างโรงแรมอัลลัวร์ในประเทศเมียนมาร์ ทางการเมียนมาร์ไม่มีไฟฟ้าที่ใช้อย่างสม่ำเสมอ โรงแรมจึงใช้เครื่องปั่นไฟโดยใช้น้ำมันดีเซล และเปิดปิดเครื่องทุก 6 ชั่วโมง ทำให้ไฟฟ้าไม่เสถียร และต้นทุนสูง รัฐบาลเมียนมาร์จึงเห็นใจ และอนุญาตให้นำไฟไทยมาใช้เบื้องต้น ต่อมาประชาชนที่ท่าขี้เหล็กมีความต้องการใช้ไฟฟ้า บริษัทจึงเป็นตัวกลาง และมีการชำระค่าไฟฟ้าอย่างไม่มีปัญหา แต่เริ่มมีปัญหาภายหลังด่านท่าขี้เหล็กปิดเนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ในปี 2563 นายทุน มิน ลัต จึงเป็นผู้รับผิดชอบการโอนเงินแบบระบบแมทช์ชิ่ง โดยการโอนเงินในแต่ละเดือนถ้าเทียบกับยอดเงินไม่ดีที่เข้าการไฟฟ้าแล้วนั้นคิดเป็นจำนวนน้อยมาก
ส่วนกรณีที่มีการกล่าวหาว่า ตนนำเงินที่ค้ายาเสพติดมาฟอกผ่านการธุรกิจจำหน่ายระหว่างไทยกับเมียนมานั้น อุปกิต ชี้แจงว่า คงไม่มีใครไม่มีใครคิดนำเงินค่าไฟฟ้าที่ถูกกฎหมายไปเปลี่ยนให้เป็นเงินผิดกฎหมาย เพื่อไปฟอกผ่านการโอนเงินจ่ายค่าไฟฟ้า จึงยืนยันว่าไม่ได้นำไปฟอกกับคนโอนเงินเพื่อจ่ายค่าไฟฟ้า นายอุปกิต บอกอีกว่า ขณะที่คดีของทุน มิน ลัต ยังไม่ได้สิ้นสุดกระบวนการยุติธรรม กลับถูกนำคดีนี้มาปั่นกระแสเพื่อประโยชน์ทางการเมือง โดยที่ตนไม่มีโอกาสที่จะชี้แจงหรือรักษาสิทธิ์ตนเอง จึงขอตั้งข้อสังเกตว่า มีทฤษฎีสมคบคิดหรือไม่ และ พ.ต.ท.มานะพงษ์ วงศ์พิวัฒน์ สารวัตรสืบสวน สถานีตำรวจนครบาลพญาไท มีความสัมพันธ์กับพรรคก้าวไกลหรือไม่ พร้อมกันนี้ ตั้งข้อสังเกตว่า มีความพยายามปั้นหลักฐานต่างๆ ไปฟ้องต่อศาลผ่านกระบวนการที่มีความเชื่อมโยงกันจากหลายฝ่าย ทั้งนักวิชาการ นักเคลื่อนไหว นักการเมือง สื่อมวลชน และตำรวจ โดยเฉพาะการเผยแพร่เอกสารซึ่งหลุดจาก พ.ต.ท.มานะพงษ์ และพรรคการเมืองฝั่งตรงข้ามรัฐบาลออกมาโหนกระแส ดังนั้น ตน และครอบครัวจึงขอความเป็นธรรม เพราะตน และครอบครัวตกเป็นเหยื่อทางการเมือง ใช้ประโยชน์เพื่อการหาเสียง ตนยังเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม ไม่มีใครก้าวก่าย และแทรกแซงได้ โดยเฉพาะตนเอง
นายอุปกิต บอกว่าวันนี้ตนเองและทนายความจะเดินทางไปยื่นฟ้อง พ.ต.ท.มานะพงษ์ และผู้ที่เกี่ยวข้องในข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ สำหรับสื่อมวลชนที่ได้ฟ้องแล้ว และกำลังจะยื่นฟ้อง เนื่องจากทำให้ตนเสียหาย ทั้งที่ยังไม่มีการตัดสินว่าตนผิด ดังนั้น ใครที่ล้ำเส้นตน กล่าวหาตน ตนจะปกป้องสิทธิด้วยการฟ้อง หากตนชนะคดีเหล่านี้ ขอบริจาคเงินให้การกุศลทั้งหมด เพราะตนต้องการเพียงกอบกู้ชื่อเสียงและเกียรติยศของตน
หลังการแถลงเสร็จสิ้น นายอุปกิต ได้ยกมือพนม พร้อมกล่าวสาบานทั้งน้ำตาว่า ผมขอสาบานต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดในสากลโลก ผมและครอบครัวไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจยาเสพติดอย่างที่โดนกล่าวหา ไม่คิดจะทำและไม่มีวันทำ แต่หากใครใส่ร้ายกล่าวหาผมและครอบครัว ขอให้ท่านเหล่านั้นและครอบครัวประสบความวิบัติและมีอันเป็นไป นายอุปกิต ยังยืนยันอีกว่าตึกที่ทำการพรรครวมไทยสร้างชาตินั้น นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาคในขณะที่ยังไม่มีตำแหน่งทางการเมืองได้ติดต่อขอเช่าโดยแจ้งว่าใช้เป็นออฟฟิศส่วนตัว และยืนยันว่าได้ทำสัญญาเช่าถูกต้องตามกฎหมาย และไม่ทราบมาก่อนว่าจะเปลี่ยนเป็นที่ทำการพรรค พร้อมยินดีให้ตรวจสอบสัญญาเช่าและย้ำว่าไม่ได้รู้จัก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะแกนนำพรรครวมไทยสร้างชาติเป็นการส่วนตัว แต่คิดว่าที่ถูกได้รับเลือกให้เป็น ส.ว.เพราะมีความชำนาญด้านการต่างประเทศ และการไฟฟ้า โดยยืนยันได้ว่าตนเองไม่ได้เป็นผู้สนับสนุนพรรครวมไทยสร้างชาติอย่างที่ถูกกล่าวหา ดังนั้นจึงตั้งข้อสังเกตได้ว่า ตนเองตกเป็นเหยื่อทางการเมืองอย่างแน่นอน












