นำมลพิษมาพลิกวิกฤตทำเงิน
ปัญหา PM 2.5 กลับมาเป็นที่ถกเถียงกันในสัปดาห์ที่ผ่านมาปัจจัยส่วนหนึ่งมาจากมลพิษสะสมในชั้นบรรยากาศ ที่เกิดจากการเผาไหม้ ทั้งรถยนต์และโรงงานอุตสาหกรรม อย่างที่หลายท่านทราบกันดี
แต่หลายๆจังหวัดก็มีมาตรการออกมาเพื่อแก้ไขปัญหาเบื้องต้น อาทิเช่น การ Work from home หรือการสั่งหยุดเรียน นับว่าเป็นการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ และไม่ยั่งยืนเท่าใดนัก เพราะท้ายสุด ฝุ่นละอองพิษก็ยังวนเวียนอยู่บนโลกนี้ไม่ไปไหน
แต่การแก้ไขปัญหาที่ดีที่สุดในทุกๆปัญหาคือการแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ อย่างเช่นการเดินทางในระบบขนส่ง สาธารณะ และการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ในทุกๆภาคการผลิตหรือการอุปโภคก็ดี
และที่สำคัญที่สุดคือนโยบายจากภาครัฐที่ส่งเสริม ให้เกิดการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อโลก
แต่ทุกวันนี้การจะมาเปลี่ยนวิถีเก่าๆ หรือความเคยชินเดิมของมนุษย์ทันจะยากไปเสียหน่อยสำหรับทุกคน เพราะมีเรื่องของต้นทุน ทั้งเงิน และเวลาและค่าเสียโอกาสเข้ามาเกี่ยวข้อง
มันจะดีกว่าหรือไม่ ถ้าปรับแล้วได้เงิน ปรับแล้วมีดอกมีผลจากการปรับเปลี่ยนวิถีที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยเริ่มตั้งแต่ภาคการผลิต คือพูดง่ายๆ คือ แค่ลดมลพิษคุณก็ได้เงิน หรือตามหัวข้อ คือ อาควันพิษเปลี่ยนเป็นเงินในกระเป๋า
ฟังดูอาจดูเว่อ แต่มีคนทำได้แล้ว ที่จังหวัดสุพรรณบุรีเป็นเกษตรกรที่ได้ผลกำไรเทียบเท่ากับการส่งข้าวให้โรงสี 1 ตัน หรือ กรณีของชุมชนโค้งตาบางจังหวัดเพชรบุรี ที่มีรายได้กลับคืนสู่ชุมชน 7-8 หลักต่อปี
นับว่าเป็นมิติใหม่สำหรับเทรนตอบโจทย์สิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน
และจะเกิดไม่ได้เลยหากขาดแรงส่งจากภาครัฐ และพรรคการเมืองที่สนับสนุน อย่างพรรคชาติไทยพัฒนา ที่นำโดยนายวราวุธศิลปอาชา ที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมคอยผลักดันเป็นผู้หนุนแนวคิดและไอเดียเหล่านี้ให้เกิดขึ้นได้
แต่สิ่งสำคัญสุดสำหรับคนเมือง เงินคือสิ่งสำคัญในการดำรงชีวิต แต่การบริหารจัดการอากาศที่ดีควบคู่กับเงินที่งอกเงยจากการรักษาสิ่งแวดล้อมแล้ว ว่าเป็นเรื่องที่น่าให้เกิดขึ้นครับ