หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม แต่งรูป คำคม Glitter สเปซ ไดอารี่ เกมถอดรหัสภาพ เกม วิดีโอ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

นิทานสอดแทรกข้อคิด แนะนำเมนูเสริมโชคเสริมดวงช่วงตรุษจีน

เนื้อหาโดย bluescorpion

 

ละคร เรื่อง กุ๊กสาวหัวใจเทวดา ตอน เมนูเด็ด !!! เจ็ดดาวลูกไก่

  1. 1 ซิ่นหลิง ที่แปลว่า จิตวิญญาณแห่งความศรัทธา

คนพากษ์ : กาลครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานเท่าไหร่ ..... มีเด็กหญิงคนหนึ่ง ชื่อ ซิ่นหลิงได้อาศัยอยู่ในบ้านหลัง

          เล็ก ๆ กับแม่ซึ่งป่วยด้วยโรคที่ไม่มีทางรักษาและอาจจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นานนัก ซิ่นหลิงเป็นลูก  

          กตัญญูเขาจึงดูแลและช่วยเหลืองานบ้านแทนแม่ของเขาหมดทุกอย่าง

 

(ซิ่นหลิงทำกับข้าวอยู่มุมเวที ทำท่าตักข้าวใส่ถ้วย แล้ววิ่งถือชามข้าวต้มมาให้แม่ที่นั่งอยู่)

 

ซิ่นหลิง : ท่านแม่!!! วันนี้ข้าทำข้าวต้มหัวไชเท้า แบบที่ท่านแม่เคยสอนไว้ มาให้ท่านกิน  

            ท่านแม่ลองชิมดูนะคะว่า รสชาติใช้ได้ไหม ว๊ายยยย (ขณะที่วิ่งมาซิ่นหลิงได้สะดุดล้มนอนราบลงที่เวที จนชามข้าวต้ม คว่ำลงที่พื้น ด้วยความตกใจเขาจึงตะโกนขึ้นมาว่า)โอ้ววววว...ก๊อด (เทอะ)

 

คนพากษ์ : เมื่อแม่เห็นดังนั้น จึงยิ้มมุมปากแล้วพูดว่า

 

แม่ : (หันมาพูดกับผู้ชมหน้าเวที) เหอะ ๆ  แบบที่ข้าสอน...หึ ไม่ใช่แบบนี้ (หันมาพูดกับผู้ชมหน้าเวที แล้วส่ายหน้าเล็กน้อย) แต่ก็นะลูกอุตส่าห์ตั้งใจทำมาให้ ปลอบใจหน่อยแล้วกัน (แม่มาประคองซิ่นหลิง และพูดปลอบใจอย่างอ่อนโยน) ขอบใจจ้ะ ซิ่นหลิง เจ้านี่เก่งมากเลยนะลูก (พร้อมลูบหัวซิ่นหลิงอย่างเอ็นดู)

 

ซิ่นหลิง : (ซิ่นหลิงพูดด้วยน้ำเสียเศร้าสร้อย) แต่ข้าวหกหมดแล้ว ไม่เหลือเลย เหลือเพียงเศษข้าวติดชาม

 เท่านั้นเอง ท่านแม่...ข้าขอโทษ

 

แม่ : (มองหน้าซิ่นหลิง พร้อมยกมือขึ้นมา ให้สัญญาว่าอย่าโทษตัวเอง) ไม่เป็นไรลูก ช่วงนี้แม่กำลังลด

       น้ำหนัก เข้าครอสไดเอ็ทอยู่ กินน้อยหน่อยก็ไม่เป็นไรจ้า (เมื่อพูดจบ แม่หยิบชามข้าวขึ้นมาแล้ว

       ทำท่ากิน ทำเสียงซวบ ๆ)

 

ซิ่นหลิง : อร่อยไหมค่ะท่านแม่

 

แม่ : อร่อย... ถึงเครื่อง กลมกล่อมมากเลยลูก สมแล้วที่แม่ตั้งชื่อลูกว่า ซิ่นหลิง

      (แม่ถือชามข้าวค้างเอาไว้ แล้วตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม พร้อมเอามือจับไหล่ซิ่นหลิง)

 

ซิ่นหลิง : (ซิ่นหลิงตะโกนลั่นพร้อมทั้งกำกำปั้นชูมือดีใจ) ไชโย!! ว่าแต่ เอ๊…..!!!! (ซิ่นหลิงยกนิ้วชี้ขึ้นมาเคาะ

            ที่ปลายคิ้ว ทำท่าคิดสงสัยพร้อมกับพูด) ทำไมท่านแม่ถึงตั้งชื่อข้าว่า ซิ่นหลิงละคะ

 

แม่ : (แม่เอามือลูบหัวซิ่นหลิง ตามองทั้งซิ่นหลิงและคนดูสลับกัน) อ๋อ พูดไปแม่ก็เขิล ๆ อยู่นะ

      ตอนแม่ตั้งท้องเจ้า แม่ติดซีรีส์จีน (ทำเสียงคลั่งใคล้) นางเอกสวยมาก ชื่อซิ่นหลิงสวยเหมือนแม่ตอน  

      สาว ๆ เลยล่ะ พูดแล้วก็ขนลุก แต่ชื่อนี้ความหมายดีมาก แม่ไปดูหมอมาแล้วชื่อของ

      ลูกแปลว่า จิตวิญญาณแห่งความศรัทธาไงล่ะ เจ้าเป็นเด็กดี มีความกตัญญูและตั้งใจเรียนรู้ ชื่อนี้

      เหมาะกับเจ้าแล้วจริง ๆ แม่ขอโทษ ที่แม่ต้องทำให้ เจ้าลำบาก ต้องมาทำงานที่ควรจะเป็นหน้าที่ของ

      แม่แทนทุกอย่างเลย

 

ซิ่นหลิง : (ซิ่นหลิงตอบกลับด้วยความยิ้มแย้ม) ข้าไม่เห็นลำบากเลยท่านแม่ ทำงานบ้าน งานครัวสนุกออก

            จะตาย

 

แม่ : ดีแล้วล่ะจ้า เจ้าช่วยเหลือตนเองได้แล้ว แม้ต่อไปไม่มีแม่ เจ้าก็จะได้ดูแลตัวเองได้

 

คนพากษ์ : ต่อมาอาการของแม่ก็เริ่มทรุดหนัก เธอจึงได้ฝากฝังลูกสาวไว้กับพี่สาว ซึ่งก็คือ ท่านป้า 

              นั่นเอง

 

ท่านป้า : เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะ เมื่อวันนั้นมาถึง ข้าจะช่วยดูแลลูกสาวของเจ้าให้เอง                      

            ข้าอยู่ในเมืองชีวิตแสนสุขสบาย ข้าทำงานภัตตาคาร ได้กินแต่อาหารดี ๆ ทุกวัน ถ้าซิ่นหลิง

             ไปอยู่กับข้ารับรองว่า ไม่มีทางได้อดอยากแน่นอน

 

แม่ : ข้าขอบคุณท่านพี่มากค่ะ (ทำมือคารวะแบบคนจีน แล้วทำท่าตาย)

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

  1. 2 ชีวิตในเมืองหลวงของซิ่นหลิง

 

คนพากษ์ : เมื่อแม่จากไป ซิ่นหลิงจึงได้ออกเดินทางไปกับท่านป้าไปยังเมืองหลวง ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ที่มี

             ผู้คนคับคลั่ง

 

ซิ่นหลิง : เมืองนี้คนเยอะจังเลยนะคะท่านป้า เสียงสีที่นี่ทำให้ข้ารู้สึกมาชีวิตชีวามาก ๆ (ยกมือขึ้นแล้วมอง

            ตามมือ ทำท่าดื่มด่ำต่อแสงสี และตื่นตา ตื่นใจกับสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน)

 

ท่านป้า : (ชี้นิ้วไปที่คนดู) นี่ไงล่ะ!! ที่ทำงานของข้า เป็นภัตตาคารอันดับใหญ่ต้น ๆ ของเมืองนี้เลยนะ

 

ซิ่นหลิง : โอ้วโห ที่ทำงานของท่านป้า ใหญ่โตหรูหราจังเลย (เมื่อพูดจบซิ่นหลิงก็จะเดินเข้าไปในร้าน

            แต่ป้าร้องห้ามไว้)

 

คนพากษ์ : ทั้งสองเดินเข้าไปที่ซอกตึกข้างภัตตาคาร

 

ท่านป้า : (ป้าซิ่นหลิง เดินมาถึงมุมตึก แล้วชี้ไปยังที่ล้างจานแล้วพูดกับซิ่นหลิงว่า) ตรงนี้แหละที่ที่ข้า

            ทำงานล้างจาน (ชี้ไปตรงที่นาน) ส่วนบ้านของเราก็อยู่ตรงมุมตึกนั่นแหละ บ้านของเรามีพื้นที่

            กว้างขวาง เจ้าอยากนอนตรงไหน ก็เลือกนอนได้เลย

 

คนพากษ์ : ด้วยความที่ซิ่นหลิงเป็นเด็กร่าเริง อยากรู้อยากเห็นจึงรีบเดินไปดูมุมตึก และเมื่อซิ่นหลิงเดินดู

              รอบ ๆ ก็พบว่า มีเพิงหมาแหงน มีท่อนไม้สองอันสำหรับเป็นหมอนหนุนนอน

 

ท่านป้า : เป็นไง ชีวิตของข้า สบายไหมล่ะ ทำงานเสร็จก็นอนได้เลย ตื่นมาก็ทำงานต่อได้ทันที

 

ซิ่นหลิง : จริงด้วยค่ะ ท่านป้า ข้าไม่เคยคิด ไม่เคยฝันเลย ว่าจะได้อยู่เพิงหมาแหงน และมีสนามหญ้าหน้า

            บ้านที่กว้างขวางขนาดนี้ เล่นเอาซะข้าคิดถึงบ้านเล็ก ๆ ในป่าของข้าเลยทีเดียว

 

คนพากษ์ : ซักพักต่อมา ซ้อหลิวเจ้าของภัตตาคาร ก็ได้เดินออกมาทางหลังร้าน (ซ้อหลิวเดินขึ้นเวที)

 

ซ้อหลิว : เอ้า!!! กลับมาแล้วหรือ รีบเข้างานเลยนะ ลูกค้าเริ่มเข้ามาแล้ว

 

ท่านป้า : ได้ค่ะซ้อหลิว

 

ท่านป้า : (ป้าหันมาพูดกับซิ่นหลิงว่า) เอาล่ะ เดี๋ยวข้าต้องเข้าทำงานก่อนล่ะนะ (ป้านั่งลงล้างจาน)

 

ซิ่นหลิง : (เดินไปหาท่านป้าและเขย่าแขน) ให้ข้าช่วยนะคะท่านป้า

 

ท่านป้า : ได้สิ เจ้านี่เป็นเด็กดีจริง ๆ เอ้อ!! ว่าแต่หิวหรือยังล่ะ ถ้าหิวก็รออีกสักหน่อยนะ เดี๋ยวก็จะได้

            กินแล้ว

 

ซิ่นหลิง : ค่ะท่านป้า

 

คนพากษ์ : สักพักก็มีพนักงานในภัตตาคาร ทยอยขนจานชามออกมาให้ท่านป้าและซิ่นหลิงล้างเพิ่ม

              เป็นระยะ ๆ ท่านป้าหันไปพูดกับซิ่นหลิงว่า

 

ท่านป้า : นั่นไงล่ะ กับข้าวของเรามาแล้ว คนแถวนี้ชอบกินทิ้ง กินขวาง กินเหลือเป็นประจำ

            (ป้าเดินมาดูที่กองถ้วยชาม แล้วพูดกับซิ่นหลิงว่า) เวลาที่พนักงานของร้าน เดินยกถ้วยชาม 

            ออกมา ให้เจ้าเทรวมใส่ชามของเราเอาไว้นะ แต่ต้องแยกด้วยล่ะ ต้องเป็นกับข้าวชนิดเดียวกัน

            นะ ไม่อย่างนั้นจะไม่อร่อย กินไม่ได้ เข้าใจไหม

 

ซิ่นหลิง : เข้าใจค่ะ ท่านป้า

 

ท่านป้า : ข้าจะสอนให้นะ (ชี้ที่ชาม) ชามนี้เรียกว่า แป๊ะซะ (ชี้ที่ชามต่อมา) ส่วนอีกชาม เรียกว่าผัดเม็ด

            มะม่วงสามรส หัดสังเกตสังกา และจดจำเอาไว้ให้ดี จะได้แยกได้ถูก

 

ซิ่นหลิง : ค่ะ ท่านป้า

 

คนพากษ์ : เมื่อรวบรวมอาหารเสร็จเรียบร้อย ทั้งท่านป้าและซิ่นหลิงก็หยุดล้างจานแล้วพักกินอาหารที่หา

              มาได้อย่างเอร็ดอร่อย (ท่านป้าและซิ่นหลิงนั่งกินอาหารในกระท่อม)

 

ท่านป้า : (ในมือถือชามแล้วถาม) เป็นไงบ้างล่ะ อาหารภัตตาคาร อร่อยไหม

 

ซิ่นหลิง : อร่อยที่สุดในชีวิตข้าเลยค่ะ เกิดมาข้ายังไม่เคยกินอาหารที่อร่อยเท่านี้มาก่อนเลย เมนูนี้ 

            เรียกว่าอะไรหรอคะ รสชาติหอมอร่อย ละมุนลิ้นไปหมดเลย

 

 

ท่านป้า : เจ้าโชคดีนะวันนี้ เมนูนี้ไม่ได้กินบ่อยหรอก ต้องเป็นวันที่ขายดีจริงๆ ถึงจะตกมาถึงเรา 

           เมนูนี้มีชื่อว่า เป๋าฮื้อน้ำแดงจักรพรรดิ อร่อยระดับจักรพรรดิยังติดใจจนต้องร้องว๊าว

 

 ซิ่นหลิง : โอ้โห ชื่อเพราะจัง ข้าชอบเมนูนี้ที่สุดเลย ข้าขอกินเยอะ ๆ นะค่ะ

 

ท่านป้า : ได้สิหลานรัก

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

  1. 3 ซิ่นหลิงตามหาพรสวรรค์

 

คนพากษ์ : (ซิ่นหลิงนั่งลงบนเวที นั่งเท้าคางทำท่าคิดอยู่ข้าง ๆ ป้า) และในคืนนั้น ซิ่นหลิงคิดทบทวนถึง

    ความสุขที่เกิดจากการกินอาหารอร่อย ๆ แล้วพูดกับท่านป้าว่า

 

ซิ่นหลิง : ท่านป้า การที่ได้กินอาหารอร่อย ๆ เนี่ย ทำให้เรามีความสุขจัง เหมือนกับได้ขึ้นสวรรค์เลย

  รสชาติของอาหารนี้ ช่างมีพลังอย่างลึกล้ำเหลือเกิน

 

ท่านป้า : (ลูบหัวซิ่นหลิง) จินตนาการของเจ้า ก็ล้ำลึกไม่ใช่เล่น พูดซะข้าหิวขึ้นมาอีกแล้ว

 

ซิ่นหลิง : (ซิ่นหลิงพูดกับท่านป้าด้วยน้ำเสียงจริงจัง) ท่านป้าคะ โตขึ้น ข้าอยากเป็นกุ๊กจังเลย

 

ท่านป้า : (ยิ้มเยาะด้วยความเอ็นดู) กุ๊กไก่อย่างนั้นหรือ 5555

 

ซิ่นหลิง : (ทำท่าเซ็งแล้วพูดว่า) กุ๊กภัตตารต่างหากเล่า ข้าอยากทำให้ผู้คนได้มีความสุขจากความลึกล้ำ

            ในรสชาติของอาหารที่ข้าทำ

 

ท่านป้า : (จับหัวซิ่นหลิงด้วยความเอ็นดู) โอ้ยยยย ฝันเฟื้องเหลือเกินนะเจ้าเนี่ย เป็นกุ๊กอ่านะ

            ไม่ได้จะเป็นกันได้ง่าย ๆ ต้องมีพรสวรรค์ถึงจะเป็นได้

 

ซิ่นหลิง : (เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่สงสัย ทำหน้าตาไร้เดียงสา) พรสวรรค์คืออะไรคะ ท่านป้า

 

ท่านป้า : (ยกนิ้วชี้ขึ้นมา ทำท่าทางสั่งสอน) ก็เป็นความสามารถพิเศษที่สวรรค์มอบให้คนบางคน

           ติดตัวมา ตั้งแต่กำเนิดยังไงล่ะ คนไหนมีพรสวรรค์ ก็จะเก่งกาจเหนือคนทั่วไปอย่างน่าอัศจรรย์

 

ซิ่นหลิง : (เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่สงสัย ทำหน้าตาไร้เดียงสา) แล้วถ้าข้าอยากมีพรสวรรค์ ข้าต้องทำอย่างไร

           บ้างคะท่านป้า

 

ท่านป้า : (ทำน้ำเสียงแบบจริงจัง พูดให้ข้อคิด) เจ้าเด็กน้อยเอ้ย....มันเป็นไปไม่ได้หรอก ชื่อก็บอกแล้ว

           ยังไงล่ะว่า พรสวรรค์ ก็คือ สวรรค์ให้มาตั้งแต่เกิด คนที่ไม่มีก็คือไม่มี หากอยากมีพรสวรรค์ คือ

           ต้องมีทางเดียว คือ ต้องตายแล้วเกิดใหม่เท่านั้น ฮ่า ๆ ๆ

 

 

(ซิ่นหลิงทำท่าทางเศร้าและไม่เข้าใจในคำพูดของป้าสักเท่าไหร่นัก)

คนพากษ์ : ซิ่นหลิงยิ่งฟัง ยิ่งไม่เข้าใจ พรสวรรค์ที่ป้าว่านั้น คืออะไรกันแน่ เป็นคำถามที่ยังคงดังก้อง

              ในหัวของซิ่นหลิง วันนึงหลังจากว่างเว้นจากการทำงาน(ท่านป้ากับซิ่นหลิงเดินเล่นวนไปวนมา

              อยู่บนเวที) ท่านป้าและซิ่นหลิงได้ออกมาเดินเล่นกัน และเรื่องที่ยังรบกวนจิตใจอยู่

              ก็เรื่องพรสวรรค์ บังเอิญก็ได้มีนักพจน์ผู้นึงเดินผ่านมา ดูท่าทางน่าเลื่อมใส น่าจะเป็นผู้วิเศษ

    จึงได้เดินเข้าไปเอ่ยถาม (ซิ่นหลิงเดินไปหาท่านนักพจน์)

             

ซิ่นหลิง : (ทำสีหน้าสงสัย เอียงหัวเล็กน้อย) ท่านนักพจน์ ท่านพอจะรู้จักสวรรค์บ้างหรือไม่

 

นักพจน์ : (พูดด้วยน้ำเสียงที่น่าเอ็นดู) เอ่อ เจ้ามีเรื่องคับข้องใจอันใดกับสวรรค์อย่างนั้นหรือ เด็กน้อย

 

ซิ่นหลิง : (ชี้นิ้วขึ้นฟ้า ทำท่าแหงนมอง) ข้าอยากจะถามสวรรค์สักหน่อยว่า เหตุใดจึงไม่มีความยุติธรรม

            เอาเสียเลย บางคนมีพรสวรรค์ บางคนกลับไม่มี

 

นักพจน์ : พรสวรรค์อย่างนั้นหรือ

 

ซิ่นหลิง : (น้ำเสียงหงุดหงิด) ใช่แล้วค่ะ ก็ความสามารถที่สวรรค์ให้กับบางคนเหนือกว่าคนอื่นอย่างน่า

            อัศจรรย์อย่างไรล่ะข้าอยากมีพรสวรรค์เหมือนกับคนอื่นเค้าบ้าง กลับต้องให้ตายแล้วเกิดใหม่

            จึงจะเป็นได้

 

นักพจน์ : (น้ำเสียงขำขัน เอามือลูบหัวซิ่นหลิงอย่างเอ็นดู) ฮ่า ๆ ถึงกับต้องตายแล้วเกิดใหม่เลยอย่างนั้นรึ

  ข้าจะบอกเจ้าให้นะ การที่จะเป็นคนที่มีความสามารถ ไม่น่าจะต้องลำบากสวรรค์ ถึงขนานนั้น

  แค่ขยันเรียนรู้ และหมั่นฝึกปรือ ก็น่าจะเป็นดั่งใจหวังได้แล้ว

 

ซิ่นหลิง : (น้ำเสียงสงสัย เอียงหัวเล็กน้อย) หากเป็นเช่นนั้น แล้วเหตุใด บางคนแม้ฝึกปรือทั้งชีวิตก็ยังไม่เก่ง 

            แต่บางคนแค่ฝึกปรือเพียงเล็กน้อย ก็เก่งกาจกว่าคนอื่นอย่างไม่ยากเย็น ไม่ใช้เพราะพรวิเศษจาก

            สวรรค์อย่างนั้นหรือ

 

นักพจน์ : (เอามือลูบหัวซิ่นหลิงอย่างเอ็นดู) เด็กน้อยเอ๋ย บางทีพรสวรรค์ อาจไม่ใช่สิ่งที่พิสดารอย่างที่

            คนเข้าใจ เพียงแต่เป็นการว่ายน้ำตามกระแสน้ำ แค่นั้นเอง

 

ซิ่นหลิง : (น้ำเสียงสงสัย) ว่ายน้ำตามกระแสน้ำเป็นอย่างไรอย่างนั้นหรือ แต่ข้า... ข้า...ว่ายน้ำไม่เป็น

 

นักพจน์ : (น้ำเสียงจริงจัง) ฮ่า ๆ  ไม่ใช่อย่างนั้น เจ้านี่ใสซื่อจริง ๆ หากได้ว่ายน้ำตามกระแสที่น้ำพัดพาไป

            แม้ออกแรงเพียงน้อยนิด ก็ไปได้ไว ไปได้ไกล ที่บางคนดูเหมือนมีทักษะต่าง ๆ อย่างง่ายดาย

            ราวกับเกิดขึ้นเอง ก็เพราะมีวิถีชีวิตที่เกื้อหนุนต่อการพัฒนา ทักษะที่ตนกำลังให้ความสนใจอยู่

            พอดีนั่นเอง

 

ซิ่นหลิง : (หันหน้ามาคุยกับผู้ชมที่เวที) เช่นนั้นก็แปลว่า สิ่งที่อยู่รายล้อมรอบตัวเรา สามารถช่วยผลักดันให้

            เราเก่งกาจได้อย่างนั้นหรือคะ

 

นักพจน์ : (หันหน้ามาคุยกับผู้ชมที่เวที) ถูกต้องแล้ว หากเจ้ารู้จักการใช้พลังจากกระแสน้ำ ใช้พลังจาก

            สิ่งแวดล้อม และพลังจากวิถีชีวิต เจ้าจะเป็นผู้ที่มีความสามารถได้ดั่งเช่นผู้อื่นอย่างไม่ยากเย็น

 

คนพากษ์ : แม้ซิ่นหลิงจะฟังคำพูดของนักพจน์แล้ว ยังไม่เข้าใจชัดเจนนัก แต่อย่างไรซะคำพูดของนักพจน์

              ก็เรียกได้ว่าเป็นพลังใจให้ซิ่นหลิง มีความพยายามและสู้ต่อไป

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

  1. 4 ซิ่นหลิงกับบททดสอบใหม่ของโชคชะตา

คนพากษ์ : หลายปีผ่านไป ซิ่นหลิงเติบโตเป็นสาวสวย ท่านป้าได้ตายจากไป ซิ่นหลิงยังคงรับ

              ช่วงอาชีพล้างชามต่อจากท่านป้า ขณะซิ่นหลิงกำลังก้มหน้าก้มตาล้างชาม ก็ร้องเพลง   

              ไปพลาง ๆ อย่างอารมณ์ดี

 

ซิ่นหลิง : (เต้นท่าของเพลงนี้) Baby I love you หัวใจ อ้ายมันเรียกร้อง ฮ้องดังๆ ข้างในว่าโด่ดิดง

           ละดิโด้ดิดง ละมันเต้นบ่ตรง ลงโท๊ะ ลงทงเด้นโด่ดิดง เมื่อเห็นหน้ามน หาลังเทือกะมง เท่งโม๊ะ

           เท่งมง

           (เลียนแบบเสียงของตุ๊กกี้) เฮ้อ เป็นคนล้างจาน เฮ็ดงานที่นี่มาหลายปี๋แล้ว คิดฮอดบ้านหล๊าย

           หลาย บางเทื่อ คิดฮอดบ้าน ก็นั่งไห่ นั่งร้องไห่คนเดียว อาชีพนี้เป็นอาชีพที่ดี ซุดจริต เงินเดือน

           3500 แปดปีที่แล้ว ตอนนี้ทำดี๋ ขยัน ล่างจ๋านสะอาด ก็ได้ 3500 ทำกั๊บป้าสองคน ป้าล้างจาน  

           จนตายก็ยังไม่มีบ้านอยู่

 

คนพากษ์ : ขณะนั้นเอง ก็มีกุ๊กของภัตตาคารคนนึง ได้ยกจานชามออกมาให้ซิ่นหลิงล้าง พร้อมพูดคุยกับ

              ซิ่นหลิง

 

กุ๊กใหญ่ : (น้ำเสียงสงสัย) ซิ่นหลิง เจ้าจะทำงานล้างจานไปจนตายเหมือนป้าของเจ้าเลยงั้นหรือ

 

ซิ่นหลิง : (น้ำเสียงท้อใจ) ก็ข้ามีความสามารถแค่นี้นี่น่า ตั้งแต่เล็กจนโตข้าไม่มีพรสวรรค์เหมือนคนอื่นเขา

 

กุ๊กใหญ่ : (ยืนคุยกับซิ่นหลิงที่นั่งล้างจานอยู่) เจ้าน่าจะลองไปสมัครเป็นคนยกอาหารดูนะ งานยกอาหาร           

 

               เงินดีกว่า งานล้างจานชามที่เจ้าทำอยู่นี่เยอะเลย บางทีก็ได้สินน้ำใจจากลูกค้าด้วย คนเราต้องรู้จัก 

               คิดถึงอนาคตบ้าง ต้องเก็บเงินไว้ใช้ยามแก่เฒ่า อย่าให้เหมือนท่านป้าของเจ้า บ้านช่องห้องหอก็ฃ 

              ไม่เคยมี โอกาสได้อยู่ ต้องอาศัยซุกหัวนอนตามซอกตึกจนวาระสุดท้าย ข้าได้ยินข่าวก็ยังรู้สึก

              อดสูเลย ข้าต้องไปเตรียมอาหารแล้วล่ะ  (เมื่อพูดจบกุ๊กก็เดินลงจากเวที)

 

คนพากษ์ : เมื่อพูดจบกุ๊กก็เดินกลับเข้าไปที่ร้าน และเมื่อซิ่นหลิงได้ฟังคำแนะนำจากกุ๊ก จึงลองเข้าไปสมัครงาน

              เป็นคนยกอาหารตามที่ได้รับคำแนะนำ

 

ซิ่นหลิง : (กำ กำปั้นทำท่าสู้ ๆ) เอาว๊ะ !!! ลองดูจั๊กเทื่อ ถ้าบ่โอเค ค่อยกลับมานั่งล่างจ๋านต่อ

 (เดินลงจากเวที)

 

(ซ้อหลิว ยืนคุยกับพนักงานยกอาหารของร้านอยู่ 2-3 คน และมีลูกค้านั่งรอสั่งอาหารอยู่ที่โต๊ะ)

ซ้อหลิว : วันนี้ดูแลลูกค้าดี ๆ ล่ะ ทำอะไรให้คล่องแคล่วว่องไว ลูกค้าจะได้ประทับใจ

 

พนักงานในร้าน : ค่ะซ้อ ข้าจะตั้งใจทำงานให้ดีค่ะ (แล้วเดินลงจากเวทีไป)

 

ซ้อหลิว : เอ้า ซิ่นหลิง เจ้าเข้ามาที่ร้านทำไม ตัวเจ้าเปียกปอน มีแต่กลิ่นเศษอาหาร เดี๋ยวร้านก็สกปรก

            เลอะเทอะหมดพอดี

 

ซิ่นหลิง : (เอามือกุมไว้ข้างหน้า โค้งตัวเล็กน้อย ทำท่าสำนึกผิด) ขอโทษค่ะ ซ้อหลิวคะ ข้าได้ยินมาว่า

            ท่านกำลังรับสมัครพนักงานยกอาหาร เลยลองมาสมัครดูค่ะ

 

ซ้อหลิว : คนยกอาหารน่ะ ต้องอ่านหนังสือออก เขียนหนังสือเป็น จะได้จดรายการอาหารส่งให้ในครัวได้

            เจ้าทำได้หรือเปล่าล่ะ

 

ซิ่นหลิง : (ก้มหน้าเศร้า) ข้าทำไม่ได้หรอกค่ะ ข้าไม่รู้หนังสือ ไม่เคยได้ร่ำเรียนหนังสือมาก่อน อ่านไม่ออก

            เขียนไม่ได้เลย

ซ้อหลิว : ถ้างั้น กลับไปล้างจานเหมือนเดิมอ่าดีแล้ว

ซิ่นหลิง : (ก้มหน้าเศร้า) นี่ข้าต้องเป็นคนล้างจานไปตลอดชีวิตหรือนี่

คนพากษ์ : เมื่อได้ฟังเช่นนั้น ซิ่นหลิงจึงต้องเดินคอตกกลับไป แต่ขณะที่ซิ่นหลิงกำลังจะเดินออกจากร้าน

              ไปนั้น ก็ได้มีลูกค้าดูท่าทางร่ำรวย เป็นคุณหนูสูงศักดิ์คนหนึ่งส่งเสียงเอะอะโวย เกรี๊ยวกราด   

              ดุดันไม่เกรงใจใคร

             

                  (คุณหนูนั่งอยู่บนโต๊ะ พนักงานยืนข้างโต๊ะ)

 

คุณหนูจอมวีน : (น้ำเสียงเกรี๊ยวกราด) อ้าวเห้ย!! นี่เจ้าเป็นคนยกอาหารได้อย่างไร ถามอะไรเกี่ยวกับ

                   อาหารก็ไม่รู้เรื่องสักอย่าง แล้วแบบนี้ข้าจะสั่งอาหารได้อย่างไร

 

คนพากษ์ : เมื่อซ้อหลิวเห็นดังนั้น จึงได้เข้าไปถามไถ่เรื่องราวที่เกิดขึ้น

ซ้อหลิว : (เดินไปหาคุณหนูจอมวีนที่โต๊ะ) มีปัญหาอะไรหรือคะ คุณหนู

 

คุณหนูจอมวีน : (นั่งอยู่บนโต๊ะอาหาร พูดด้วยน้ำเสียงเกรี๊ยวกราด) ก็พนักงานของเจ้าน่ะสิ ถามอะไรก็ไม่รู้  

                  เลยสักอย่าง ตอบคำถามข้า ก็ตอบแบบขอไปที ถามว่าอะไรอร่อยก็บอกว่า อร่อยหมดทุก

                    อย่าง ถามว่าหน้าตารสชาติเป็นอย่างไร ก็ไม่รู้จัก

 

พนักงานในร้าน : (ยืนข้างโต๊ะของคุณหนู แล้วหันหน้ามาพูดกับซ้อหลิว) ก็อาหารที่ร้านของเรามีตั้ง

                        108 อย่าง แต่ละอย่างก็ราคาแสนจะแพง ข้าเองไม่มีปัญญาเคยได้กินเลยสักอย่าง

                        แล้วข้าจะรู้ได้อย่างไร ว่าอะไรเป็นอะไร หน้าตา รสชาติเป็นแบบไหน

 

 

ซ้อหลิว : (ทำน้ำเสียงดุ ๆ) เอ้า อย่างไปเถียงคุณหนูอย่างนั้นสิ เจ้ามีอะไรทำก็ไปทำไป

 

คนพากษ์ : เมื่อซ้อหลิวพูดจบ พนักงานยกอาหารก็เดินไปหลังร้านทันที และซ้อหลิวก็หันมาพูดกับคุณหนู

 

ซ้อหลิว : ข้าต้องขอโทษด้วยนะคะคุณหนู ก็อย่างที่พนักงานยกอาหารพูดนั่นแหละ อาหารที่นี่มีแต่เมนู

            พิเศษหากินได้ยาก  แถมยังมีเป็นร้อย ๆ รายการ ข้าเองบางครั้งก็เคยหลงลืมชื่ออาหาร

            เหมือนกัน

 

คนพากษ์ : เมื่อซิ่นหลิง ได้ยินดังนั้น ก็พูดขึ้นมาทันทีว่า

 

ซิ่นหลิง : คุณหนูน่าจะลองเมนู เป๋าฮื้อน้ำแดงจักรพรรดิดูนะคะ เป็นเมนูขึ้นหิ้งของร้านเราเลย

            รสชาติลึกล้ำ หอมกรุ่นเครื่องยาจีน อร่อยระดับจักรพรรดิยังติดใจ

 

ซ้อหลิว : อ้าวเห้ย!!! เมนูพิเศษอย่างนั้น เจ้าจะไปรู้จักได้อย่างไร บอกผิดบอกถูก เดี๋ยวจะเสียชื่อเสียงร้าน

            หมด

 

ซิ่นหลิง : ก็ข้าได้กินอาหารที่เหลือจากลูกค้าทุกวัน ข้าก็ต้องรู้จักสิว่าอะไรเป็นอะไร

 

คนพากษ์ : เมื่อคุณหนูจอมวีน ได้ยินดังนั้น จึงเกิดความสนใจขึ้นมาทันที

 

คุณหนูจอมวีน : เจ้ารู้จักอาหารของที่นี่ จริง ๆ อย่างนั้นหรือ แล้วมีเมนูอะไรแนะนำข้าอีกไหมล่ะ

 

ซิ่นหลิง : หากจะให้ทานคู่กันแล้วอร่อย ข้าขอแนะนำ หมี่ยกสนมเอก ภายนอกกรุบกรอบ ภายในเหนี่ยว

            นุ่ม เคลือบเส้นด้วยน้ำมันงา โรยหน้าด้วยกระเทียมเจียว  ม้วนเส้นเป็นมวยสวย

            ประดุจมวยผมของสนมเอก

คุณหนูจอมวีน : โอ้วโห.... อธิบายซะข้าน้ำลายไหลเลย นี่อาซ้อที่ พนักงานคนนี้พูดมา เป็นจริงหรือไม่

 

ซ้อหลิว : เป็นดังว่าทุกอย่าง

 

คุณหนูจอมวีน : ถ้าอย่างนั้นก็ยกมาให้ข้าเลย ถ้าเป็นจริงดังว่า ไว้วันหน้าข้าจะพาเพื่อนมากินเยอะ ๆ เลย

 

ซ้อหลิว : ได้ค่ะคุณหนู

 

คนพากษ์ : ซ้อหลิว รู้สึกโล่งใจที่สามารถแก้ไขปัญหานี้ไปได้ และได้หันมาพูดชื่นชมซิ่นหลิง

              แล้วบอกกับซิ่นหลิงว่า

 

ซ้อหลิว : นี่ซิ่นหลิง เจ้าเก่งมากนะ ข้าเห็นว่าเจ้ารู้จักอาหารในภัตตาคารของเราเป็นอย่างดี ข้าจะให้

            โอกาสเจ้า หากเจ้าสามารถ อ่านและเขียนเมนูอาหารของร้านเราได้ครบทุกรายการได้ภายใน

            3 วัน ข้าจะให้เจ้า ทำงานเป็นพนักงานยกอาหารอย่างที่เจ้าต้องการ แต่หากทำไม่ได้ ก็กลับไป

            ล้างจานต่อไปเถิด

 

ซิ่นหลิง : ขอบคุณค่ะ ซ้อหลิวที่ให้โอกาสข้า รับรองว่า ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง

 

คนพากษ์ : เย็นวันนั้น ซิ่นหลิงขอให้กุ๊กใหญ่สอนอ่านชื่อเมนูอาหารทั้งหมด 108 อย่างให้เขาฟัง ซิ่นหลิงมี 

              ความพยายามอย่างล้นเหลือ นั่งอ่านและเขียนชื่ออาหารข้ามวันข้ามคืน  ในที่สุดความ

              พยายามของซิ่นหลิงก็สัมฤทธิ์ผล ซิ่นหลิงจึงไปหาซ้อหลิวและได้อ่านและเขียนชื่อรายการ  

              อาหารให้ซ้อหลิวฟัง

 

ซ้อหลิว : เจ้าทำได้ดีมาก ตกลงเจ้าได้งานแล้วนะ ไปเอาชุดพนักงานยกอาหารมาเปลี่ยนซะ แล้วเริ่ม 

            ทำงานได้เลย

 

ซิ่นหลิง : ขอบคุณมากค่ะซ้อหลิว

 

คนพากษ์ : ซิ่นหลิงดีใจเป็นอย่างมากที่ได้งานตามที่ตัวเองปรารถนาไว้ เพราะซิ่นหลิงชอบการที่ได้เห็น

              ผู้คนกินอาหารด้วยความเอร็ดอร่อย ซิ่นหลิงมักจะสาธยายเมนูอาหารให้ลูกค้าฟังเป็นประจำ

              ทำให้บรรดาลูกค้าต่างพากันชื่นชอบซิ่นหลิงเป็นอย่างมาก เพราะรู้สึกว่า เมื่อฟังการบรรยาย

              เรื่องอาหารของซิ่นหลิงแล้วทำให้อยากกินอาหารมากขึ้น

 

ซิ่นหลิง : สวัสดีค่ะ ข้าดีใจเป็นอย่างมากที่นายท่านแวะมาอุดหนุนร้านของเราอีก

 

ลูกค้า 3 : วันนี้ยังไม่รู้เลยว่าจะกินอะไรดี ซิ่นหลิง เจ้าลองแนะนำหน่อยสิ

 

ซิ่นหลิง : ในช่วงเทศกาลตรุษจีนนี้ ทางร้านเรามีเมนูเด็ด เสริมโชคเสริมดวง มาแนะนำค่ะ

  1. ปลานึ่งซีอิ้ว ความหมายคือ เหลือกินเหลือใช้ เหลือเฟือ
  2. หมี่ซั่ว ความหมายคือ อายุยืนยาว
  3. ไก่ต้มน้ำปลา ความหมายคือ การงานก้าวหน้า
  4. ขนมเข่ง ความหมายคือ มีความเจริญขึ้นในทุก ๆ ปี

         และที่ขาดไม่ได้เลย นั่นคือ เมนูที่ 5 เกี๊ยวหมู เป็นเมนูยอดฮิตที่ทุกบ้านนิยมกินกันในช่วงเทศกาลตรุษจีน เพราะมีความหมายดี และมีความเชื่อว่า ชีวิตรุ่งเรือง อายุยืนยาว รสชาติเกี๊ยวอ่อนนุ่ม ภายในมี เนื้อหมูสับที่อยู่ข้างในผ่านการหมักเครื่องเทศอย่างพิถีพิถัน หอมกรุ่นด้วยน้ำซุปรสเลิศ รับรองท่านทั้งสองจะต้องติดใจ

 

ลูกค้า 2 : พอแล้ว พอแล้ว ยิ่งฟังเจ้าพูดข้ายิ่งหิว

 

ลูกค้า 3 : ไปยกมาเถิด ข้าสองคนจะกินทั้งหมดนั่นแหละ

 

ลูกค้า 2 : จัดมาชุดใหญ่ ๆ เลยนะ ข้าหิวแล้ว

 

ซิ่นหลิง : รับทราบค่ะ ข้าจะรีบไปจัดเตรียมมาให้ท่านเดี๋ยวนี้

 

คนพากษ์ : เมื่อซิ่นหลิง ได้ฟังดังนั่นก็รีบไปจัดการเมนูอาหารให้ลูกค้าทันที แม้ว่าซิ่นหลิงจะเป็นที่ชื่นชอบ   

              ของลูกค้ามากแค่ไหน แต่ความฝันที่ซิ่นหลิงอยากจะเป็นกุ๊กฝีมือดี ก็ไม่เคยลดลงไปเลย แต่ก็ยัง

              ไม่เห็นหนทางที่จะไปถึงฝั่งฝันสักที

 

 

 

 

 

 

 

 

  1. 5 ซิ่นหลิงกับองค์ความรู้ใหม่

 

คนพากษ์ : ซิ่นหลิงยังคงทำงานเป็นพนักงานยกอาหารให้กับลูกค้าเหมือนเดิม  ลูกค้าที่

              ประทับใจในคำแนะนำของซิ่นหลิงและรสชาติของอาหาร ก็ทยอยมาอุดหนุนกัน

              อย่างอุ่นหนาฝาคลั่ง บางวันที่ลูกค้าเยอะ หรือมีพนักงานลาไป ซิ่นหลิงก็ได้มีโอกาส 

              เข้าไปเป็นผู้ช่วยกุ๊กอยู่ในครัว ได้ฝึกปรือเคล็ดลับวิชาการทำอาหารจากกุ๊กใหญ่ไป

              ไม่น้อย

 

กุ๊กใหญ่ : ซิ่นหลิง ข้าจะแนะนำวิธีการทำอาหารอย่างคล่องแคล่วให้เจ้า เพื่อให้เจ้ามีความรู้ติด

            ตัวเอาไว้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าการหั่นอาหารนั้นมีหลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นหั่นตรง หั่นเฉียง

           หั่นเต๋า หั่นแฉลบ และมีขนาดใหญ่ กลาง เล็กฝอย แต่ละขนาดให้รสชาติสัมผัสไม่

           เหมือนกัน เข้าใจไหม ??

 

ซิ่นหลิง : เข้าใจค่ะ

 

คนพากษ์ : เมื่อซิ่นหลิง ได้รับการชี้แนะจากกุ๊กใหญ่เพียงเล็กน้อย แต่ก็เหมือนเป็นการจัดเรียง

     ทักษะที่กระจัดกระจายให้เป็นระเบียบ เป็นรูปเป็นร่าง ส่งเสริมความรู้ที่ขาดหายไป

     ให้สมบูรณ์ เป็นการต่อยอดทักษะเดิมให้เป็นทักษะใหม่ ให้ซิ่นหลิง สามารถพัฒนา

     ได้อย่างรวดเร็วกว่าคนทั่วไป โดยที่ตัวซิ่นหลิงเอง ก็ไม่รู้ตัว เมื่อความตั้งใจของ

     ซิ่นหลิงเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาของกุ๊กใหญ่และซ้อหลิว จึงทำให้ซิ่นหลิงได้เลื่อน

              ตำแหน่งมาเป็นผู้ช่วยกุ๊กในเวลาต่อมา

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

  1. 6 ซิ่นหลิงในสถานการณ์ที่กดดัน

 

คนพากย์ : วันหนึ่งขณะภัตตาคารเปิดให้ลูกค้าเข้ารับประทานอาหารตามปกติ แต่กลับเกิดเหตุการณ์ไม่ 

              คาดฝันขึ้นอย่างกะทันหัน

 

ฉากพนักงานรีบไปหาซ้อหลิว

พนักงานในร้าน : (วิ่งมาอย่างรีบร้อน) ซ้อหลิวคะ ซ้อหลิว มีเรื่องใหญ่แล้วค่ะ กุ๊กใหญ่ไม่สบาย ล้มหน้าทิ่ม  

                      อยู่ที่ขอบกระทะค่ะ ท่านรีบไปดูเร็วค่ะ

 

ซ้อหลิว : ห๊ะ อาการหนักขนาดนั้นเลยหรอ แย่แล้วซิ วันนี้ลูกค้าแน่นร้าน ฝนก็ดันมาตกซะงั้น กุ๊กใหญ่ยัง

            มาล้มป่วยอีก ข้าจะแก้ปัญหายังไงดี

 

พนักงานในร้าน : เร็วเถอะซ้อหลิว ถ้าท่านช้ากว่านี้ กุ๊กใหญ่อาจตายก่อน

 

ซ้อหลิว : โอเค ๆ ข้าจะรีบไป เดี๋ยวเจ้าไปตามคนมาพากุ๊กใหญ่ไปสำนักพยาบาลด้วยนะ

 

ฉากที่ห้องครัว

 

ซ้อหลิว :  กุ๊กใหญ่ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง ไหวไหม

 

กุ๊กใหญ่ : โรคประจำตัวข้อกำเริบ ข้าไม่ไหวแล้ว

 

ซ้อหลิว : นี่เจ้าเดี๋ยวพากุ๊กใหญ่ไปสำนักพยาบาลนะ เดี๋ยวเจ้าไปขอโทษลูกค้า อธิบายเหตุผลให้ลูกค้าฟัง

            นะ และขอให้วันนี้ลูกค้าทุกท่านไปทานอาหารร้านอื่นก่อน วันนี้เราคงต้องปิดร้านแล้วล่ะ

 

พนักงานในร้าน : ได้ค่ะ

 

คนพากษ์ : เมื่อพนักงานได้รับคำสั่งก็วิ่งไปอธิบายกับลูกค้าทันที ลูกค้าหลายรายมีหัวเสียบ้างที่ไม่ได้

              รับประทานอาหาร แต่ก็เข้าใจและยอมกลับไปโดยดี แต่ยกเว้นลูกค้ารายหนึ่ง

             (ลูกค้านั่งอยู่ที่โต๊ะ)

 

 

 

ฉากในภัตตาคาร

 

หม่อมถนัดชิม : เป็นถึงภัตตาคารใหญ่โต แต่กลับไล่ลูกค้าที่อุตส่าห์เข้ามาในร้านแล้วออกไป ทั้งที่ข้างนอก

                   ก็ฝนตกหนักอยู่อย่างนั้นหรือ ไปเรียกเจ้าของร้านมาสี

 

คนพากษ์ : ไม่นานนัก ซ้อหลิว ก็เดินออกจากหลังร้าน เพื่อมาพบลูกค้าท่านนั้นและรีบกล่าวขอโทษขอโพย

              ลูกค้าทันที

 

ซ้อหลิว : นายท่าน โปรดให้อภัยเราด้วย เป็นเหตุสุดวิสัยจริง ๆ กุ๊กใหญ่ของเราล้มป่วยกระทันหัน จึงไม่

            สามารถทำอาหารให้ท่านได้

 

หม่อมถนัดชิม : (น้ำเสียงโมโห) เหลวไหล เป็นถึงภัตตาคารใหญ่โต แต่ไม่สามารถจัดการเรื่องแค่นี้ได้

                   เช่นนั้นจะต่างอะไรกับร้านข้างทาง

 

คนพากษ์ : เมื่อซ้อหลิว ได้ฟังเช่นนั้น ก็ถึงกลับชะงัก และรู้ได้ทันทีว่า ลูกค้าคนนี้ต้องไม่ใช่คนธรรมดา 

              แน่นอน ทันใดนั้นก็มีพนักงานคนนึงเอ่ยขึ้นมาว่า

 

ซ้อหลิว : ดูจากรูปร่างหน้าตา หรือว่าท่านผู้นี้จะเป็น หม่อมถนัดชิม อดีตกุ๊กมือทองแห่งวังหลวง ผู้ออก

            เดินทางไปทั่วยุทธภพ หากร้านไหนที่ท่านให้ 5 ดาว ก็จะขายดีเป็นเทน้ำเทท่า แต่หากได้ดาว

            เดียวละก็ จะกลายเป็นร้านกระจอกในสายตาผู้คนไปเลย หรือว่านายท่าน คือ หม่อมถนัดชิม

            ที่คนเค้าร่ำลือกันจริง ๆ

 

หม่อมถนัดชิม : ใช่แล้ว เมื่อเจ้ารู้แล้ว จงไปเอาเมนูที่อร่อยที่สุดในร้านมาให้ข้าชิมซะเถิด

 

ซ้อหลิว : ได้ค่ะ นายท่านโปรดรอสักครู่

 

คนพากษ์ : แล้วซ้อหลิวกับพนักงานทุกคน ก็รีบกลับเข้าไปในครัว เพื่อคิดแก้ไขปัญหานี้

 

ซ้อหลิว : ซิ่นหลิง ในฐานะที่เจ้าเป็นผู้ช่วยกุ๊กและรู้จักอาหารในร้านเราดีที่สุด เจ้าพอจะทำเมนูไหนได้บ้าง

           หรือไม่

 

ซิ่นหลิง : ข้ายังไม่สามารถทำเมนูในร้านได้อย่างคล่องแคล่วนัก

 

ซ้อหลิว : (ปาดเหงื่อ) เห็นแววมอดม้วยมาลาง ๆ เลย (เดินไปจับมือซิ่นหลิงทั้งสองข้าง เพื่อเป็นการ

            ขอร้อง) เอาเถอะอนาคตของร้านนี้ฝากไว้ในมือเจ้า หากเจ้าทำสำเร็จและได้รับคำชมจากหม่อม

            ถนัดชิม ข้าจะให้เจ้าเป็นกุ๊กใหญ่ แต่ถ้าหากเจ้าทำล้มเหลวล่ะก็ไปหางานอื่นทำได้เลย

 

ซิ่นหลิง : ได้ค่ะ ขอข้าคิดแปปนึง ข้าคิดว่า มีเมนูหนึ่งที่ข้าพอทำได้ จะลองทำ ไปเสิร์ฟให้หม่อมถนัดชิม

           ได้ลิ้มลอง

 

ซ้อหลิว : เอาเถิด เจ้าจงเร่งมือทำเลยนะ หม่อมถนัดชิมรอนานแล้ว

 

คนพากษ์ : ในทันใดนั้น ซิ่นหลิงก็รีบเร่งทำอาหารทันที

 

เปิดซาวเพลง หวงเฟยหง

(ถือมีดทำท่านทำอาหาร โยนถ้วยจานชามแล้วรับเอง ทำท่าผัดกระทะให้เข้ากับดนตรี)

 

คนพากษ์ : เวลาผ่านไปไม่นาน อาหารของซิ่นหลิงก็เสร็จเรียบร้อย

 

ซ้อหลิว : อาหารของเราเสร็จแล้วครับนายท่าน กุ๊กของเราทำสุดฝีมือเลย นี่ค่ะ

 

คนพากษ์ : เมื่อเปิดฝาครอบอาหารออกดูก็ปรากฏว่า

 

หม่อมถนัดชิม : เห้ย นี่มันเมนูอะไรกัน เกิดมาเพิ่งเคยเห็น หน้าตาเหมือนอาหารจากร้านข้างทางธรรมดา                            

                   ธรรมดา

 

ซ้อหลิว : ซวยแล้ว ไม่รอดแน่เรางานนี้

 

หม่อมถนัดชิม : เมนูนี้มีชื่อว่าอะไรหรือกุ๊ก

 

ซิ่นหลิง : ข้าตั้งชื่อว่า เมนูเด็ด เจ็ดดาวลูกไก่ค่ะ

 

หม่อมถนัดชิม : โหตั้งชื่อซะหรูเชียว ต้องกินก่อนถึงจะรู้ว่าอร่อยสมชื่อหรือเปล่า

 

คนพากษ์ : และแล้วหม่อมถนัดชิม ก็ตักอาหารใส่ปาก เมื่อได้ลิ้มรสก็ปรากฏว่า

 

หม่อมถนัดชิม : อื้มอร่อยแหะ น้ำซุปกลมกล่อมละมุนลิ้น เข้ากับลูกชิ้นได้เป็นอย่างดี เดี๋ยวนะ ลูกชิ้นแต่ละ

                   ลูกมีรสชาติแตกต่างกัน เหมือนมาจากคนละเมนู แต่เจ้าทำเป็นลูกชิ้น จึงสามารถกักเก็บ

                   รสชาติมิให้ปะปนกันได้ ลูกชิ้นแต่ละลูก ส่งเสริมรสชาติของกันและกัน อื้ม...อร่อยจนหยุด

                   ไม่ได้

คนพากษ์ : และหม่อมถนัดชิมก็ตักอาหารเข้าปากอย่างไม่หยุดจนหมดชาม

 

หม่อมถนัดชิม : นี่เจ้าคงมิได้เอาลูกไก่ทั้งเจ็ดตัวมาทำอาหารให้ข้ากินอย่างเช่นชื่อหรอกนะ

 

ซิ่นหลิง : เปล่าเลยค่ะท่าน นี่เป็นอาหารพื้นฐานพืช ลูกชิ้นแต่ละลูก ทำจากเห็ดเจ็ดชนิดและพืชผักมิมี

            ส่วนประกอบของเนื้อสัตว์แต่อย่างใดเลย ข้าไม่อยากให้ลูกไก่ต้องเป็นทุกข์ทรมาน

            อย่างเช่นในตำนานที่แม่ข้าเคยเล่าให้ฟัง

 

หม่อมถนัดชิม : อื้ม อาหารของเจ้าช่างอร่อยจริง ๆ อีกทั้งยังรู้สึกอิ่มเอมใจที่ไม่ต้องเบียดเบียนชีวิตของใคร

                   แฝงไว้ด้วยคุณค่าทางจิตใจ ฝีมือการทำอาหารของเจ้า นับว่าเยี่ยมยุทธ เจ้าสำเร็จเคล็ดลับ

                   วิชาการทำอาหารมาจากสำนักไหนอย่างนั้นหรือ

 

ซิ่นหลิง : หาได้ไม่ค่ะ ข้าเป็นเพียงผู้ช่วยกุ๊กที่อาศัยจดจำจากกุ๊กใหญ่ทำให้ดูเท่านั้นเอง

 

หม่อมถนัดชิม : แค่ครูพักลักจำ แต่มีฝีมือได้ขนาดนี้เชียวรือ ถ้างั้นก็แปลว่าเจ้าเป็นคนที่มีพรสวรรค์

 

ซิ่นหลิง : ข้าน้อยมีพรสวรรค์ด้วยอย่างนั้นหรือ ที่ผ่านมาข้าน้อยไม่เคยคิดว่าจะได้ยินคำคำนี้กับตนเองเลย  

            แต่วันนี้กลับได้ยินจากยอดฝีมือเช่นท่าน

 

หม่อมถนัดชิม : เมนูนี้ข้าขอยกให้ 5 ดาว เดี๋ยวข้าจะให้คนนำป้ายการันตีความอร่อยมามอบให้นะ ข้ามี

                   Gift voucher มอบให้เจ้าเพื่อนำไปเรียนทำอาหารฟรีที่สำนักสอนทำอาหารขึ้นชื่อ นั่นคือ

                   สำนักกระทะสวรรค์ และ สำนักจวักมังกร ให้เจ้าได้เลือกเรียนตลอดชีพตามใจปรารถนา

 

คนพากษ์ : เมื่อประชาชนชาวบ้าน ได้รู้ว่าภัตตาคารของซ้อหลิว ได้กลายเป็นภัตตาคาร 5 ดาวชื่อดัง

              ต่างหลั่งไหลแวะเวียนกันมา รับประทานอาหารที่นี่ ส่วนซิ่นหลิงก็ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นกุ๊กใหญ่

              ชื่อดังที่ใคร ๆ ก็รู้จักไปทั่ว

 

 

 

ซิ่นหลิง : สุดท้ายนี้ สิ่งที่ข้าอย่างจะบอกกับทุกท่านนั่นคือ หากท่านมีความฝัน จงอย่างทิ้งความฝันเพียง

            เพราะความท้อถอย แต่โปรดระลึกไว้เสมอว่า จุดหมายไม่ทิ้งคนศรัทธา วันนี้ข้ากับเพื่อน ๆ ต้อง

            ไปแล้วน๊า บ๊ายบาย

 

 

 

 

 

 

 

 

          

 

เนื้อหาโดย: bluescorpion
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
bluescorpion's profile


โพสท์โดย: bluescorpion
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
5 VOTES (5/5 จาก 1 คน)
VOTED: bluescorpion
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
ประเทศที่นิยมใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากที่สุดในโลกเมื่อสาวเจอความทรงจำที่หายไป..มาอยู่ที่ใต้สะพานลอยสาวสอบติดครู ร้องไห้หนัก เหตุบนลิเกไว้ 4 วัด เข่าทรุดหลังรู้ราคาลิเกหนุ่มกล้ามโตจีบสาว สาวไม่เล่นด้วย เลยจับสาวทุ่มลงพื้นนักเรียนมุสลิมในเยอรมันเผย "ศาสนาของเรา อยู่เหนือกฎหมาย!!"ตั้งเวทีแปลกๆ แบบนี้..หมดสิทธิ์มั่วหน้าเวทีแน่นอนยังจำ " คลิปแรก " ของโลกบน YouTube กันได้ไหมเขมรเตรียมฉาย หนังบางระจันเวอร์ชั่นเขมร อ้างหมู่บ้านบางระจันมีที่มาจากกัมพูชา!หนุ่มเครียด! แฟนไปทำศัลยกรรม แล้วหน้าตลกจนไม่มีอารมณ์..ด้วย?
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
ไทยเสนอเป็นคนกลาง ไกล่เกลี่ยสงครามเมียนมาเอาอีกแล้ว! เขมรก็อปปี้หนังไทย เรื่องเด็กหญิงวัลลี ยอดกตัญญู?เมื่อหนูน้อยทำตุ๊กตา "ลาบูบู้"..เพราะรู้ซื้อไม่ได้ มันราคาแพง!”ดอนเมือง“ ถูกยก สนามบินดีที่สุดในโลกอันดับ 10 ของสายการบินต้นทุนต่ำ
กระทู้อื่นๆในบอร์ด ข่าววันนี้
ขายลาบให้ตา 50 บาท ได้ไหม? ต้องเดินหน้าเศร้า ร้านไม่ขายให้สาวสอบติดครู ร้องไห้หนัก เหตุบนลิเกไว้ 4 วัด เข่าทรุดหลังรู้ราคาลิเกเจ้าอาวาสวัดหดหู่ใจโจรทุบ 23 เจดีย์ลักเงินผีที่วัดปาไร่พรหมารามนักเรียนมุสลิมในเยอรมันเผย "ศาสนาของเรา อยู่เหนือกฎหมาย!!"
ตั้งกระทู้ใหม่