นพดล มาตรศรี เตือน ลักลอบเผาไร่อ้อย หรือ กลั่นแกล้งกัน มีโทษตามกฎหมาย สูงสุดถึงประหารชีวิต

รู้หรือไม่ว่าการเผาอ้อยนั้นสร้างมลพิษทางอากาศอย่างหนัก และยังก่อให้เกิดสารมลพิษทางอากาศ ได้แก่ ก๊าซต่างๆ ที่เกิดจากการเผาไหม้ เช่น คาร์บอน มอนออกไซด์ ไนโตรเจนออกไซด์สารอินทรีย์ระเหย รวมทั้งฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน (PM-10) เถ้าควัน และเขม่า ซึ่งล้วนแต่มีผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของ ประชาชนและชาวบ้านในพื้นที่ อีกทั้งยังสร้างปัญหารำคาญรบกวนรำคาญใจ ให้กับคนในพื้นที่และชุมชนต่างๆ ที่อยู่ใกล้เคียงไร่อ้อยที่เผาอีกด้วย ถึงแม้จะมีการรณรงค์ห้ามไม่ให้มีการเผาอ้อยแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่ได้ผล ยังคงมีการลักลอบเผา กันอยู่บ่อยๆ ในช่วงใกล้ปิดหีบของโรงงานต่างๆ ในพื้นที่ สำหรับจังหวัดสุพรรณบุรีนั้น ก็เกษตรกรทำการปลูกอ้อย และไร่อ้อยอยู่หลายอำเภอเช่นกัน  ดังนั้นทางด้าน นพดล มาตรศรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคชาติไทยพัฒนา  และในฐานะคนในพื้นที่ อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี ได้รวบรวมข้อมูลเรื่องนี้มาแนะนำ กันสำหรับกฎหมายการเผาอ้อย ซึ่งมีโทษสูงสุดถึงขั้นประหารชีวิต ซึ่งกฎหมายว่าด้วยดังนี้

มาตรา 217 ผู้ใดวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่น ต้องระวังโทษจำคุกตั้งแต่ หก เดือนถึงเจ็ดปี และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท”

มาตรา 218 ผู้ใดวางเพลิงเผาทรัพย์ดังต่อไปนี้

    (๑) โรงเรือน เรือ หรือแพที่คนอยู่อาศัย

    (๒) โรงเรือน เรือ หรือแพอันเป็นที่เก็บหรือที่ทำสินค้า

    (๓) โรงมหรสพหรือสถานที่ประชุม

    (๔) โรงเรือนอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน เป็นสาธารณสถาน หรือเป็นที่สำหรับประกอบพิธีกรรมตามศาสนา

    (๕) สถานีรถไฟ ท่าอากาศยานหรือที่จอดรถหรือเรือสาธารณะ

    (๖) เรือกลไฟ หรือเรือยนต์ อันมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป อากาศยาน หรือรถไฟที่ใช้ในการขนส่งสาธารณะ

    ต้องระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี

และสำหรับพี่น้องท่านใดก็ตาม ที่เป็นผู้พบเห็นและสามารถแจ้งเบาะแส ผู้กระทำความผิดในการเผาอ้อยได้ ทั้งนี้ทางโรงงานน้ำตาลมิตรผล ยังตั้งรางวัลนำจับให้อีก 100,000 บาท ไปเลย ดังนั้นมาช่วยกันสอดส่องเป็นหูเป็นตาหรือสามารถแจ้งร้องเรียนมาที่ นายนพดล มาตรศรี ก็ได้ ซึ่งจะคอยช่วยประสานงานส่วนกับท้องถิ่น ให้เพิ่มความเข้มงวดตรวจตราพร้อมกันไปด้วยกันอีกช่องทางหนึ่ง