ภาคไหนของไทยก็ปลูกไม้มีค่าได้ รีบจองก่อนหมดกล้าไม้
ตามที่รัฐบาลได้ปรับแก้ พ.ร.บ.ป่าไม้ พุทธศักราช 2484 ในมาตรา 7 ที่ได้กำหนดเกี่ยวกับไม้หวงห้ามที่ขึ้นอยู่ในพื้นที่นอกเขตป่าอนุรักษ์ ซึ่งปรับแก้ให้ไม้ทุกชนิดที่ขึ้นในที่ดินมีกรรมสิทธิ์ หรือสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายที่ดิน ไม่เป็นไม้หวงห้าม ส่งผลให้ไม้เหล่านั้นกลายเป็นไม้มีค่าทางเศรษฐกิจ ที่สามารถนำมาค้ำประกันเพื่อประเมินในการขอสินเชื่อได้ โดยมีขั้นตอนที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อน เพียงแค่ยื่นขอจดทะเบียน ที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ โดยโครงนี้ได้เริ่มดำเนินมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2561 เป็นต้นมา ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจฯ เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2565 ระบุว่า มีการจดทะเบียนนำต้นไม้มาเป็นหลักประกัน ทั้งสิ้น 146,282 ต้น เป็นจำนวนเงินค้ำประกันทั้งสิ้น 137,117,712 บาท
นอกจากโครงการฯ ข้างต้นแล้ว “การขายคาร์บอนเครดิต” เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่สนใจ ต้องการสร้างรายได้จากการปลูกไม้บนที่ดินครอบครองของตน ซึ่งในแต่ละภูมิภาคจะมีชนิดไม้ที่เหมาะสมแก่การปลูกแตกต่างกันออกไป ดังนี้
1.ภาคเหนือ เช่น ไม้ประดู่ป่า ไม้สัก ไม้ตะเคียนทอง ไม้แดง ไม้พะยูง และไม้ยางนา เป็นต้น
2.ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ภาคอีสาน) เช่น ไม้ประดู่ป่า ไม้สัก ไม้ตะเคียนทอง ไม้พะยูง และไม้ยางนา เป็นต้น
3.ภาคกลางและภาคตะวันออก เช่น ไม้ประดู่ป่า ไม้สัก ไม้ตะเคียนทอง ไม้กฤษณา ไม้พะยอม และไม้ยางนา เป็นต้น
4.ภาคใต้ เช่น ไม้กันเกรา ไม้วงศ์ยาง ไม้ยางพารา ไม้จำปาป่า ไม้ตะเคียนทอง ไม้หลุมพอ และไม้สะเดาเทียม เป็นต้น