"ทนายอนันต์ชัย" โพสต์แจงข้อกฎหมาย ปม "ทนายธรรมราช" แจ้งความ "แพรรี่" หมิ่น "พระชาตรี" 3 ประเด็นเน้นๆ
จากกรณีวิวาทะเดือดระหว่าง แพรรี่ ไพรวัลย์ กับ พระชาตรี ที่ไลฟ์โต้ตอบกันทางเฟซบุ๊ก ก่อนลุกลามบานปลายเมื่อ ทนายธรรมราช ไปแจ้งความเอาผิดแพรรี่ และมาโต้กันในรายการโหนกระแส ก่อนที่บรรดาทนายชื่อดังหลายคนจะพยายามออกมาเบรกทนายธรรมราช ก่อนจะกลายเป็นศึกหลายด้าน เพราะฝ่ายทนายธรรมราชเองก็ไม่มีทีท่าว่าจะยอมง่ายๆ ซึ่งล่าสุด ทนายอนันต์ชัย ไชยเดช ได้ออกมาโพสต์เฟซบุ๊กถึงกรณีนี้อีกครั้ง ในแง่มุมของกฎหมาย ระบุว่า
พระชาตรี vs คุณไพรวัลย์ vs ทนาย ธ. กรณีการแจ้งความกล่าวโทษในความผิดตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 มาตรา 44 ตรี และความผิดฐานหมิ่นประมาท ตาม ป.อาญา ครั้งที่แล้วผมกล่าวถึงประเด็นว่าพระชาตรีไม่ใช่ผู้เสียหายในคดีหมิ่นประมาท และพระชาตรี “คนเดียว” ไม่ใช่ “คณะสงฆ์” ตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ฯ พระชาตรี จึงไม่มีอำนาจร้องทุกข์หรือกล่าวโทษใด ๆ ทั้งสิ้น รวมถึงทนายความด้วยครับ
ครั้งนี้ ผมจะขอกล่าวเพิ่มสัก 3 ประเด็นครับประเด็นแรก การรับแจ้งความของตำรวจ
เมื่อมีผู้มาแจ้งความที่เกี่ยวกับคดีอาญา ไม่ว่าจะเป็นคดีอาญาแผ่นดิน หรือคดีความผิดต่อส่วนตัว ให้พนักงานสอบสวนทุกนายพึงระลึกอยู่เสมอว่า ผู้เสียหายอาจร้องทุกข์หรือผู้กล่าวโทษอาจกล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนได้ และมีหน้าที่ต้องรับคำร้องทุกข์ หรือคำกล่าวโทษตามกฎหมาย และให้บันทึกรายละเอียดเกี่ยวกับการรับคำร้องทุกข์หรือคำกล่าวโทษไว้ในสมุดสารบบการดำเนินคดีอาญาทั่วไป หรือทำสำนวนการสอบสวนและลงรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีแล้วรีบดำเนินการสอบสวนโดยไม่ชักช้า...” (คำสั่ง สตช.ที่ 419/2556 เรื่อง การอำนวยความยุติธรรมในคดีอาญาฯ)
กล่าวโดยสรุปให้เข้าใจง่าย ๆ ได้ว่า เมื่อใครสักคนไปแจ้งความคดีอาญา ตำรวจต้องรับแจ้งไว้ตามระเบียบก่อน เมื่อรับแจ้งแล้วจะต้องพิจารณาต่อไปว่าเป็นความผิดอาญาแผ่นดินหรือความผิดส่วนตัว ถ้าเป็นความผิดอาญาแผ่นดินบุคคลทั่วไปแจ้งความกล่าวโทษได้ตำรวจก็ดำเนินคดีตามขั้นตอนต่อไป แต่ถ้าเป็นความผิดต่อส่วนตัวผู้เสียหายเท่านั้นที่มีอำนาจแจ้งความร้องทุกข์ (ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 2 (7) ( ) ถ้าไม่ใช่ผู้เสียหายไม่มีอำนาจร้องทุกข์ หากตำรวจขืนทำคดีส่งไปอัยการก็ไม่มีอำนาจฟ้อง ( ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 120, 121) ถ้าเป็นเช่นนี้แสดงว่าตำรวจต้องปรับปรุงความแม่นยำในข้อกฎหมายโดยด่วน (แต่ปัจจุบันมีตำรวจจำนวนไม่น้อยที่เก่งข้อกฎหมายครับ)