ชาวไต้หวัน เท ขะแมร์!! ตั้งบูธขายทัวร์ยังไม่ถึงครึ่งวันแต่ต้องเก็บบูธกลับ

ตามรายงานของ"United News Network"และ"TVBS News Network"

ชาวเน็ตไต้หวันคนหนึ่งโพสต์บน Facebook "Breaking News Commune" โดยบอกว่า "เขาเพิ่งไปงาน Kaohsiung Arena International Travel Fair เพื่อเยี่ยมชมและเลือกซื้อทริปดีๆ แต่พบว่าบูธกรุ๊ปทัวร์กัมพูชา ลูกค้าเต็มร้าน(ประชด) ถึงกับปิดเที่ยง!"

โดยมาจากข่าวด้านลบล่าสุด เป็นข่าวที่ว่ามีคนต่างชาติถูกหลอกในประเทศกัมพูชา ยึดมือถือและปิดกั้นอินเทอร์เน็ตทั้งหมด มีการเปิดเผยว่าชาวต่างชาติจำนวนมากถูกหลอกให้เข้าไปในพื้นที่เพื่อประกอบธุรกิจมืด และกระทั่งถูกทุบตี, ถูกล่วงละเมิดทางเพศ, ผ่าตัดเอาอวัยวะภายใน (*แม้จะมีการแก้ข่าวแล้วว่า เรื่องนี้ไม่เป็นความจริง เป็นเพียงข่าวลือที่เกิดขึ้นคนละประเทศ), และเหตุร้ายอื่นๆ เมื่อเดินทางไปกัมพูชาแล้ว จะไม่สามารถกลับบ้านได้!

เหตุการณ์นี้ยังดึงดูดความสนใจของผู้คนจากทั่วทุกมุมโลก และพวกเขาวิตกมากขึ้นเกี่ยวกับการเดินทางไปกัมพูชาเพื่อทำงานหรือท่องเที่ยว

▼ ทันทีที่โพสต์ออกมา มันทำให้เกิดการโต้เถียงกันอย่างดุเดือดในหมู่ชาวเน็ต และพวกเขาก็ได้ทิ้งข้อความไว้:

– “ผมจะถามพี่ที่ทำงานใน ครม. ไต้หวัน ว่าคุณกล้าไปเองไหม?”

- "เฉพาะการเดินทางขาออกไม่ใช่การเดินทางกลับ"

- “ใครกล้าไปเขตอันตรายไฟแดง”

“ คนที่ยืนอยู่ข้างในบูธ คงรู้สึกอับอาย”

– “หากเดินทางจริง โทรศัพท์ฉันก็คงระเบิดแน่… ถ้าเพื่อนและญาติๆ รู้ว่ากำลังจะไปที่นั่น”

– "บริษัททัวร์ไร้เดียงสามาก ไม่ตามข่าวซะเลย!"

“ แค่ทำธุรกิจก็น่าสังเวชซะแล้ว”

“ ไม่ต้องคิดมาก ต้องใช้เงินเป็นจำนวนมากในการเข้าร่วมนิทรรศการ”

– “อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในประเทศนี้อาจจะหยุดชะงักหลังจากเวลานี้ และจะฟื้นตัวได้ยากมาก”

ส่วนคอมเม้นต์จากเพจของชาวจีนในมาเลย์เซียก็กล่าวขานถึงเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน

ภาพลักษณ์ด้านลบของประเทศกัมพูชา นับตั้งแต่มีข้อตกลงระหว่างประเทศจีน ที่จะให้รัฐบาลจีนและนักลงทุนเข้ามาทำธุรกิจในกัมพูชา

เป็นสิ่งเริ่มต้นของปัญหาที่ยากจะได้รับการเยียวยา เพราะธุรกิจคาสิโนได้ส่งผลให้เกิดกลุ่มมาเฟียจีนเข้ามาในประเทศกัมพูชาเป็นจำนวนมาก แม้แต่ช่วงที่เกิดวิกฤตการณ์โควิดที่ทำให้คนจีนต้องกลับประเทศไปแล้ว แต่ผลของธุรกิจมืดก็ยังคงอยู่ เช่น แก๊งค์คอลเซนเตอร์ที่ส่งผลต่อประเทศไทยด้วย

และการที่มีชาวต่างชาติมากมายถูกหลอกลวงให้ไปทำงานที่กัมพูชา ก็ส่งผลร้ายต่อภาพลักษณ์ของประเทศแย่ลงไปอีกด้วย