ลิขิตรักทันตแพทย์
“เปิดร้านใหม่ทั้งทีก็ขอให้เฮง ๆ นะลูก มีลูกค้ามาใช้บริการทุกวันเลย”
“ขอบคุณมากครับ คุณแม่”
“คุณแม่อะไรจ๊ะ เราแต่งเข้าบ้านคนจีนแล้ว ได้เป็นสะใภ้จีนแล้ว…เพราะงั้นหลินก็ต้องเรียกตามสามีสิลูก”
“ขอบคุณครับ คุณม๊า เอ๊ย! ม๊า” เมื่อถูกคุณแม่ของเฮียเจียมองกันด้วยสายตาตำหนิเล็กน้อย ผมก็รีบปรับเปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ ก่อนจะหัวเราะออกมาเบา ๆ เพื่อกลบเกลื่อนความผิดพลาดของตัวเอง หลังช่วงเช้าของวันนี้เมื่อเสร็จจากการทำบุญเลี้ยงพระ เพื่อเพิ่มความเป็นสิริมงคลให้กับคลินิกแล้ว มันก็ถึงคราวที่คนในครอบครัวทั้งทางฝั่งของเฮียเจียและทางผมจะมาร่วมแสดงความยินดีกับพวกเราบ้าง ในฐานะที่พวกเราเพิ่งจะช่วยกันเปิดคลินิกทันตกรรมแห่งใหม่ในจังหวัดกัน
“น้องหลิน”
“ว่าไงครับ”
“เดี๋ยวเราไปถ่ายรูปครอบครัวกันนะ พอเราถ่ายรวมทั้งสองครอบครัวเสร็จแล้ว พวกเขาจะได้แยกย้ายกันเลยเพราะอาม่าของพี่อยากกลับไปพักผ่อนแล้วน่ะ”
“อ๋อ ได้เลยครับ” เมื่อได้ยินเฮียเจียบอกเช่นนั้น ผมก็รีบเดินไปเรียกคนในครอบครัวฝั่งของตัวเองที่กำลังนั่งจับเข่าคุยกันอย่างออกรสให้ออกไปรวมตัวกับครอบครัวของเฮียเจียที่ด้านหน้าคลินิก เพื่อที่พวกเราจะได้ถ่ายรูปครอบครัวกัน
โดยบรรยากาศตลอดทั้งการถ่ายรูปรวมมันก็เต็มไปด้วยความวุ่นวาย เนื่องจากสมาชิกทั้งสองบ้านค่อนข้างมีเยอะแถมยังมีเด็กเล็กที่เป็นลูกหลานของเราอีก แต่ถึงแม้การถ่ายรูปรวมของทั้งสองครอบครัวมันจะเต็มไปด้วยความอลหม่าน แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี
และตลอดทั้งการถ่ายรูปนั้น มือข้างหนึ่งของผมก็ถูกเฮียเจียกุมเอาไว้อยู่ตลอดเวลา ทำเอาผมรู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก และก็อดไม่ได้ที่จะนึกไปถึงเหตุการณ์แรกเริ่มของเราทั้งสองคนที่ไม่น่าจะมาเกี่ยวดองกันได้เลย เนื่องจากเมื่อก่อนผมไม่ชอบขี้หน้าของเฮียเจียลูกชายร้านทองประจำจังหวัดเอามาก ๆ
ย้อนเหตุการณ์กลับไปเมื่อสิบปีก่อน… ครั้นที่ผมยังเป็นนักศึกษาทันตะหน้าใหม่
“ยังไงเราก็อย่าลืมทักไปฝากเนื้อฝากตัวกับเฮียเจียนะลูก เพราะยังไงเขาก็มาเรียนที่นี่ก่อนเรา”
“ไม่เอาอะ ทำไมหลินต้องทักไปด้วย แม่ก็ให้เขาทักมาหาหลินก่อนสิ”
“ได้ยังไงล่ะ เพราะเราต้องไปขอพึ่งเขานะลูก ไม่ใช่เขามาขอพึ่งเรา” แม่ยังคงพยายามพูดอย่างใจเย็น
“ไม่รู้ล่ะ ยังไงหลินก็จะไม่มีทางทักไปหาเขาก่อนแน่” ผมยังคงยืนกรานคำเดิม เมื่อแม่ของผมได้บอกให้ผมทักแช็ตไปหาเฮียเจียลูกชายของเพื่อนแม่ที่เข้ามาเรียนคณะเดียวกันและเรียนอยู่มหาลัยเดียวกันกับผม โดยอีกฝ่ายก็มีอายุมากกว่าผมประมาณสองปี
“ตกลงเราจะไม่ทักไปหาพี่เขาก่อนใช่ไหม” แม่ถามย้ำเสียงนิ่ง
“ใช่!” ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเช่นเดิม
“โอเค งั้นก็ตามใจเราก็แล้วกัน เพราะหลินเองก็น่าจะเก่งอยู่แล้วแหละเนอะ”
“นี่แม่พูดจาประชดหลินเหรอ”
“คิดมากน่า ใครมันจะกล้าประชดหลินล่ะ” แม่ตอบกลับมา จากนั้นเธอก็ได้ลุกขึ้นจากเตียงเพื่อเดินสำรวจหอพักใหม่ที่ผมจะต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ประมาณหนึ่งปี ซึ่งหลังจากที่เธอเดินสำรวจหอพักใหม่จนรู้สึกพอใจแล้ว แม่ก็ได้หันมาพูดกับผมต่อ เพราะอีกไม่นานเธอก็จะต้องเดินทางไปสนามบินแล้ว
“เดี๋ยวแม่จะกลับแล้วนะ ดูแลตัวเองด้วยล่ะ”
“ทำไมรีบกลับนักล่ะ ยังเหลือเวลาอีกตั้งสองชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาขึ้นเครื่อง”
“แม่ก็จะไปทำธุระส่วนตัวก่อนน่ะสิ ต้องไปซื้อของกลับไปฝากญาติ ๆ เราอีก รีบกลับตั้งแต่ตอนนี้น่ะถูกแล้ว” แม่บอกพลางหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าเพื่อโทรหาคนขับรถ ในขณะที่ผมก็ได้แต่นั่งทำหน้าบูดบึ้ง เพราะอีกไม่กี่นาทีหลังจากนี้ผมก็จะต้องถูกทิ้งให้อยู่ที่นี่เพียงลำพังแล้ว
“เดี๋ยวคนขับรถจะมารับแม่แล้ว งั้นแม่ไปก่อนนะ ถ้าเหงาก็ทักหาเฮียเจียได้เลยเพราะเขารู้แล้วว่าหลินมาเรียนที่นี่”
“ไม่มีทาง” ผมยังคงยืนยันคำเดิม โดยคราวนี้แม่ของผมก็ถึงกับถอนหายใจใส่คล้ายกับระอากันเต็มทน
เวลาต่อมาเมื่อผมถูกแม่ทิ้งให้อยู่ที่นี่เพียงลำพังเรียบร้อยแล้ว ผมก็ได้แต่นั่งกะพริบตาปริบ ๆ เพื่อถามกับตัวเองว่าจะเอายังไงต่อ เพราะเหลือเวลาอีกตั้งหนึ่งอาทิตย์กว่าที่รูมเมตของผมจะย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่
“หรือว่าเราจะทักไปหาเขาดีวะ เพราะไม่อยากกินข้าวคนเดียวอะ” ผมพึมพำกับตัวเอง ระหว่างที่กำลังนั่งจ้องหน้าจอโทรศัพท์อย่างชั่งใจ
ซึ่งใจจริงแล้วผมก็ไม่ได้อยากทักไปหาเฮียเจียเท่าไรนัก เนื่องจากผมมีอคติส่วนตัวกับเขา แต่ในเวลาเดียวกันนั้นผมก็ไม่อยากนั่งกินข้าวคนเดียวตลอดทั้งสัปดาห์นี้ด้วย เพราะผมเป็นคนขี้เหงามาก
“เฮ้อ งั้นเราก็ทน ๆ ไปก่อนก็แล้วกัน รูมเมตย้ายมาเมื่อไรเราคงไม่ได้พึ่งเขาแล้วล่ะ”
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว ผมก็นั่งรวบรวมความกล้าแล้วพิมพ์แช็ตไปหาเฮียเจียทันที โดยนี่ก็ถือว่าเป็นการพูดคุยครั้งแรกของเรา หลังก่อนหน้านี้แม้แต่ประโยคเดียวพวกเราก็ไม่เคยคุยกันเลยสักครั้ง แม้ว่าเราจะเคยเรียนอยู่โรงเรียนเดียวกัน แถมแม่ของเราก็ยังเป็นเพื่อนกันอีก เรารู้จักกันแบบผ่าน ๆ เท่านั้น เฮียเจียรู้ว่าผมชื่อหลิน ส่วนผมเองก็รู้ว่าเขาชื่อเจียแค่นั้นเลย
‘สวัสดีครับ ชื่อหลินเป็นลูกแม่ภัคเพื่อนสนิทของแม่เฮียที่ได้มาเรียนที่นี่’
‘เฮียเจียอยู่ไหนอะ’
‘ขอไปนั่งเล่นด้วยได้ไหม เหงา’
“อะไรอะ อ่านแล้วไม่ตอบงั้นเหรอ หยิ่งจังวะ”
พอผ่านไปได้พักใหญ่และที่หน้าแช็ตของเฮียเจียได้มีการขึ้นข้อมูลว่าอีกฝ่ายกดอ่านแล้ว ผมก็ต้องพูดกับตัวเองต่อด้วยน้ำเสียงโมโหเล็กน้อย เพราะไม่เคยเจอใครหยิ่งเท่าเขามาก่อน ประกอบกับเหตุการณ์สมัยที่ผมกับเขาเรียนมัธยมปลายด้วยกันได้ผุดขึ้นมาในความคิดอีกครั้ง นั่นจึงทำให้ผมยิ่งหงุดหงิดเขาเข้าไปใหญ่
เพราะเมื่อก่อนตอนที่เฮียเจียเรียนม.ปลาย อีกฝ่ายน่ะฮอตมาก ๆ ด้วยความที่ครอบครัวของเขามีเชื้อสายจีน ผิวพรรณของเฮียเจียจึงดีไปด้วย อีกฝ่ายมีผิวที่ขาวอมชมพูตามกรรมพันธุ์ หน้าตาตี๋เล็กน้อยในแบบที่สาวชอบ แถมฐานะทางบ้านยังรวยและเรียนเก่งอีก เหล่ารุ่นพี่รุ่นน้องในโรงเรียนจึงต่างชื่นชอบเฮียเจียเอามาก ๆ รวมไปถึงเพื่อนของผมด้วย
โดยจุดที่ทำให้ผมเริ่มไม่ชอบเฮียเจียมากนั้น มันก็มาจากการที่เขามีนิสัยหยิ่งไม่ค่อยพูดจากับใครยกเว้นเพื่อนในกลุ่มของตัวเอง และความไม่ชอบขี้หน้าของผมก็ยิ่งทวีคูณมากขึ้น เมื่อเฮียเจียมาหักอกเพื่อนสนิทของผมด้วยประโยคที่ว่า
‘พี่อยากอยู่คนเดียว’
นับแต่นั้นมาผมก็ไม่ชอบขี้หน้าเฮียเจียจนถึงขั้นแอบทำหน้าทำตาใส่เขา เวลาที่เขาเดินผ่านหน้ากันไป แต่ก็นั่นแหละ… โชคชะตามักจะเล่นตลกกับมนุษย์อยู่เสมอ
เพราะยิ่งเกลียดผมก็ยิ่งเจอ ยิ่งเกลียดเฮียเจียแม่ของเราก็ยิ่งสนิทกันมาก ขนาดตอนนี้มหาลัยมีตั้งมากมายพวกเราก็ยังวนมาเจอกันเลย ยิ่งไปกว่านั้นยังต้องมาเรียนอยู่คณะเดียวกันอีก
“ไม่อยากตอบก็ไม่ต้องตอบ ไม่ง้อก็ได้” เมื่อมั่นใจแล้วว่าเฮียเจียจงใจที่จะไม่ตอบผมจริง ๆ ผมจึงพูดขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะกดบล็อกเขาทันที เนื่องจากผมไม่อยากเสวนากับผู้ชายคนนี้อีกแล้ว
โดยหลังจากที่ผมกดบล็อกเฮียเจียเสร็จ ผมก็ทิ้งตัวนอนลงเตียงแล้วหยิบผ้าห่มขึ้นคลุมโปงทันที ตั้งใจจะงีบกลางวันสักชั่วโมงแล้วค่อยเดินออกจากหอไปหาของกินยามเย็น
“ใครโทรมาหาตอนนี้เนี่ย คนจะหลับจะนอน!”
“หยุดโทรมาสักที รำคาญนะโว๊ย!”
ช่วงเย็นของวันระหว่างที่ผมกำลังดำดิ่งไปกับการพักผ่อน ผมก็ต้องขมวดคิ้วกับตัวเองอย่างหัวเสีย เมื่อเสียงโทรศัพท์ที่ถูกวางทิ้งไว้ข้างหูได้ทำให้ผมรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมกับอาการปวดหัวตามประสาคนที่นอนตอนบ่าย
ซึ่งพอผมลืมตาขึ้นมาได้สำเร็จ ผมก็พยายามเพ่งสายตามองหน้าจอโทรศัพท์อย่างทุลักทุเล โดยในตอนแรกผมก็ตั้งท่าจะโวยวายใส่คนที่โทรมารบกวนแล้ว แต่พอเห็นว่าเป็นเบอร์แปลก นั่นจึงทำให้ผมต้องตั้งสติอยู่พักใหญ่ เพราะไม่อยากไปหงุดหงิดใส่คนที่ไม่รู้จัก
[กว่าจะรับสายได้นะ]
“แล้วนี่ใครเหรอครับ”
[เฮียเจีย]
“เฮียเจียงั้นเหรอ ใครวะ” ผมถามกลับไป ก่อนจะชะงักไปครู่หนึ่งเมื่อสติเริ่มกลับมาแล้ว “อ—อ๋อ เฮียเจียมีอะไรครับ โทรมาหาทำไมเหรอ”
[ตอนนี้เราอยู่ไหน เรานอนอยู่ในห้องใช่ไหม งั้นลงมาเลยเฮียจอดรถรออยู่ที่หน้าหอ] อีกฝ่ายบอกกลับมาเสียงห้วน
“อ—อะไรนะครับ” ยังไม่ทันจะได้ซักไซ้อะไรต่อ คนปลายสายก็กดตัดสายไปเสียก่อน ทำเอาผมที่เพิ่งตื่นมาหมาด ๆ ถึงกับไปไม่เป็นชั่วขณะ ก่อนที่ต่อมาผมจะลุกไปส่องหน้าต่างห้องแล้วเห็นว่าเฮียเจียกำลังยืนพิงรถจักรยานยนต์ของตัวเองรออยู่พอดี
“สงสัยพาไปกินข้าวแน่เลย” เมื่อคิดได้เช่นนั้น ผมก็รีบหันไปคว้าโทรศัพท์และกระเป๋าเงินลงไปหาเฮียเจียที่ด้านหน้าหอ ส่วนเรื่องความสงสัยไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เขาไม่ยอมตอบแช็ตผมหรือรู้เบอร์โทรศัพท์ของผม ผมค่อยไปถามเขาระหว่างนั่งกินข้าวก็ได้
“โทษที เมื่อกี้นั่งทำแล็บช่วยเพื่อนอยู่เลยยังพิมพ์ตอบไม่ได้” เฮียเจียเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน เมื่อผมได้เดินลงมาหาเขาแล้ว และหลังจากที่อีกฝ่ายบอกเหตุผลของการไม่ตอบแช็ตเสร็จสรรพ เขาก็หันไปคว้าหมวกกันน็อกแล้วส่งมาให้ผมต่อ
“เดี๋ยวจะพาออกไปกินข้าว ใส่หมวกกันน็อกด้วย”
“อ๋อ ได้ครับ” ผมขานรับเพียงสั้น ๆ จากที่ตอนแรกผมตั้งใจจะแร็ปด่าเขาสักหนึ่งหน้ากระดาษเอสี่ ตอนนี้ผมกลับพูดอะไรไม่ออกแล้ว เพราะเฮียเจียน่าจะไม่ได้ตั้งใจเมินแช็ตผมจริง ๆ
เพราะต้องมากินข้าวกับคนที่ไม่สนิทสนม มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหากบรรยากาศระหว่างเรามันจะเต็มไปด้วยความอึดอัด
“นี่แม่กลับกรุงเทพแล้วเหรอ” ขณะที่กำลังนั่งรออาหาร เฮียเจียก็เป็นฝ่ายชวนคุยก่อน ซึ่งอีกฝ่ายก็ยังสงวนท่าทีของตัวเองตามนิสัยของเจ้าตัว
“ใช่ครับ กลับไปแล้ว แม่เพิ่งกลับไปตอนบ่ายนี่เอง” ผมตอบกลับไปและเริ่มเป็นฝ่ายถามไถ่เขาบ้าง “แล้วนี่เฮียเจียรู้เบอร์หลินได้ยังไง แล้วทำไมรู้ที่พักของหลินด้วย
“ก็แม่หลินเป็นคนบอก เขาให้ชื่อหอพักกับเบอร์หลินมาตั้งแต่ตอนที่หลินได้หอแล้ว”
“….”
“แม่หลินคงเป็นห่วงมั้ง เพราะหลินเป็นลูกคนเดียวแถมต้องมาเรียนไกลอีก” เฮียเจียตอบ และในจังหวะเดียวกันนั้นพนักงานก็ทยอยนำเอาอาหารมาเสิร์ฟให้พอดี
โดยตลอดทั้งการนั่งกินข้าวของเรานั้น ผมก็เอาแต่ก้มหน้างุดแล้วตักข้าวกินอย่างเดียว เนื่องจากผมไม่รู้จะชวนเฮียเจียคุยเรื่องอะไรดี เพราะสิ่งที่ผมคาใจเฮียเจียก็ได้ตอบไปหมดแล้ว ประกอบกับตัวเขาเองก็เป็นคนพูดน้อยอยู่แล้วด้วย นั่นจึงทำให้เราสองคนไม่ได้คุยอะไรกันเลย จนกระทั่งถึงคราวที่ต้องเรียกให้พนักงานมาเก็บเงิน
“ของหลินเท่าไร” เมื่อเดินออกมาที่หน้าร้านผมก็ถามเขา เตรียมจะจ่ายค่าอาหารในส่วนของตัวเองคืนให้
“ไม่เป็นไร… เฮียจ่ายให้แล้ว ไม่เอาคืนหรอก”
“ได้ไงครับ ส่วนของหลินน่าจะหลายร้อยอยู่นะ” ผมท้วง เพราะเรามากินอาหารญี่ปุ่นกัน ดังนั้นค่าอาหารมันต้องสูงกว่าปกติอยู่แล้ว
“ช่างมัน หรือไม่ถ้าหลินไม่อยากเป็นหนี้บุญคุณกันนัก หลินก็ค่อยเลี้ยงเฮียมื้อถัดไปก็ได้ เพราะยังไงเราก็น่าจะต้องอยู่กับเฮียจนกว่าเพื่อนรูมเมตจะย้ายเข้าหอนั่นแหละ หรือว่าไม่ใช่”
“งั้นเราเอาตามนั้นก็ได้ครับ” เมื่อตกลงกันได้แล้ว ผมถึงค่อยเก็บกระเป๋าสตางค์ลงในกางเกงและกระโดดขึ้นซ้อนท้ายเขาอีกครั้ง ซึ่งก่อนที่เฮียเจียจะไปส่งผมที่หอ ผมก็ได้ให้เขาพาแวะร้านสะดวกซื้อด้วย เพราะยังขาดเหลือของใช้บางส่วนอยู่
สามเดือนถัดมา…
“นี่หลินเป็นญาติกับพี่เจียเหรอ”
“ไม่ใช่สักหน่อย”
“แล้วทำไมเขาดูแลดีจังวะ พาไปกินข้าวไปกินขนม ล่าสุดขนเอาชีตสรุปวิชาZoologyมาให้อีก”
“ก—ก็แม่เรากับแม่เฮียเจียเป็นเพื่อนกันไง อีกอย่างพวกเราก็ได้มาเป็นสายรหัสกันด้วย เฮียเจียเขาก็เลยใส่ใจนิดหน่อยน่ะ” ผมบอกน้ำหวานเสียงตะกุกตะกัก
หลังในระหว่างที่เรากำลังนั่งอ่านวิชาสัตววิทยาเปรียบเทียบและแล็บอยู่นั้น น้ำหวานก็ได้ตั้งคำถามอย่างข้องใจ เนื่องจากเฮียเจียเพิ่งจะขับรถเอาชีตสรุปมาให้ผมถึงที่ร้านกาแฟ ซึ่งวิชานี้ก็ถือว่ายากสำหรับเด็กปีหนึ่งอย่างผมอยู่พอสมควร เนื่องจากเป็นวิชาที่เนื้อหาเยอะ จำเยอะแถมเนื้อหาในแต่ละบทก็ยังลงลึกยิ่งกว่าวิชาชีววิทยาที่ผมเคยเรียนตอนมัธยมปลายอีก
“สุดยอดไปเลยอะ นี่ถ้าไม่ใช่ญาติก็นึกว่าเป็นแฟนกันแล้วนะเนี่ย เพราะพี่เจียดูใส่ใจเทกแคร์กันมาก ขนาดปีสามไม่ค่อยว่างกันแล้ว เขาก็ยังพยายามจะมาดูแลหลินให้ได้อะ” น้ำหวานพูดด้วยน้ำเสียงอิจฉาเล็กน้อย ในขณะที่ผมก็ได้แต่ระบายยิ้มจาง ๆ ให้เธอเท่านั้น
เนื่องจากสถานะของผมกับเฮียเจียในตอนนี้ เราสองคนยังไม่ได้เป็นอะไรกันมากไปกว่าลูกชายของเพื่อนแม่และพี่น้องสายรหัส
แต่ในอนาคตก็ไม่แน่เหมือนกัน
ไม่รู้มันกลายเป็นแบบนี้ได้ยังไง จากที่ผมไม่ชอบขี้หน้าเฮียเจียมาก ๆ เพราะมองว่าเขาหยิ่งและขี้เก๊ก กลับกลายเป็นว่าตอนนี้เราสองคนกำลังพัฒนาความสัมพันธ์กันอย่างไม่รีบร้อน ซึ่งทุกอย่างมันเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ตอนที่เขามารับผมไปกินข้าวในตอนนั้นนั่นแหละ แต่ความรู้สึกมันเริ่มแปรเปลี่ยนไปตอนไหนนั้น ผมไม่รู้ตัวจริง ๆ
อาจเพราะพอผมได้รู้จักเขามากขึ้น…ได้รู้จักแบบที่ไม่ได้รู้จักแค่ชื่อ นั่นจึงทำให้ผมได้มองเห็นข้อดีของเฮียเจียบ้าง จากที่ตอนแรกในสายตาผมมีแต่ข้อเสียและอคติส่วนตัวเต็มไปหมด
ซึ่งเท่าที่ผมได้รู้จักเขามาเป็นเวลาหลายเดือน ผมก็เพิ่งมาค้นพบความจริงว่าเฮียเจียไม่ได้เป็นคนหยิ่งอย่างที่เข้าใจผิด แต่เขาเป็นคนพูดน้อยมากจนแทบนับคำได้ หากเขาต้องอยู่กับคนที่ไม่สนิทต่างหาก และที่เขานิ่งก็ไม่ได้เป็นเพราะเขาขี้เก๊กด้วย แต่เป็นเพราะเขาขี้อายจนไม่กล้าแสดงออกต่อหน้าคนไม่สนิทมากกว่า
ซึ่งสิ่งที่เฮียเจียเป็น มันก็ทำให้ผมแอบรู้สึกผิดต่อเขาอยู่ไม่น้อย เพราะเหมือนผมไปตัดสินตัวเขาทั้งที่ไม่ได้รู้จักเขาเลย
[น้องหลินอ่านหนังสือเสร็จหรือยัง]
“เสร็จแล้วครับ กำลังจะเก็บของกลับห้อง เฮียเจียมีอะไรหรือเปล่า” ขณะที่กำลังคุยกับปลายสาย มือของผมก็คอยเก็บชีตสรุปลงใส่กระเป๋าไปด้วย
[งั้นเดี๋ยวเฮียเข้าไปรับนะ]
“ได้ครับ แล้วนี่เฮียเจียว่างแล้วเหรอครับ” ผมถามกลับไป
[ว่างแล้วครับ เพิ่งทำแล็บเสร็จเมื่อกี้นี่เอง อ้อ…วันนี้เป็นวันลอยกระทงนะน้องหลิน] อีกฝ่ายพูดต่อคล้ายกับเพิ่งนึกได้
“….”
[งั้นวันนี้หลังกินข้าวเย็นเสร็จเราไปลอยกระทงที่ประตูท่าเเพกันนะ เดี๋ยวพี่พาไป] อีกฝ่ายพูดต่อเสียงแผ่ว คล้ายกับกลัวจะถูกผมปฏิเสธ
“อ๋อ ได้ครับ” ผมตอบตกลง
เวลาต่อมา…เมื่อเราตกลงกันแล้วว่าหลังจากที่กินข้าวเสร็จ เราจะไปลอยกระทงด้วยกัน นั่นจึงทำให้ต่อมาผมกับเฮียเจียก็ได้เดินทางมาที่ประตูท่าแพ สถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตของนักท่องเที่ยวและนักศึกษาในมหาลัยเดียวกัน
โดยเราก็ไม่ได้ทำเพียงแค่ลอยกระทงด้วยกันเท่านั้น แต่ยังไปทำกิจกรรมลอยโคมไฟยี่เป็งด้วยกันอีกด้วย ซึ่งในระหว่างที่ผมกำลังยืนมองโคมไฟที่ล่องลอยอยู่บนท้องฟ้าอย่างตื่นตาตื่นใจอยู่นั้น ผมก็ต้องหันไปทางเฮียเจียเล็กน้อย เมื่อได้ยินอีกฝ่ายกระซิบบางอย่างข้างใบหู
“เราเป็นแฟนกันนะ” เขากระซิบบอกข้างใบหูของผมทั้งใบหน้าแดงก่ำ ตั้งใจจะให้เราได้ยินกันแค่สองคนเท่านั้น โดยหลังจากที่เขาเอ่ยขอมาแบบนั้น ผมก็ได้นึกคิดไปครู่หนึ่งก่อนจะให้คำตอบกลับไปด้วยความเต็มใจ
“อือ เป็นแฟนกันครับ” ผมบอกเขาด้วยท่าทีเขินอายไม่แพ้กัน
ซึ่งนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของเราสองคน ก่อนที่สิบปีต่อมาพวกเราจะตัดสินใจแต่งงาน ใช้ชีวิตคู่ร่วมกันและเริ่มทำธุรกิจเปิดคลินิกทันตกรรมด้วยกัน เพื่อเป็นรายได้ในครอบครัวของเรา
(The end)












