ปริมาณหมายถึงอะไรในตลาด?
ในการซื้อขาย คำว่า "ปริมาณ" หมายถึงจำนวนเงินที่ใช้สำหรับการซื้อหรือขายสินทรัพย์ใดๆ ในช่วงเวลาหนึ่ง เทรดเดอร์พึ่งพามันเป็นตัวชี้วัดหลักเพราะช่วยให้พวกเขารู้ว่าระดับสภาพคล่องของสินทรัพย์เป็นอย่างไร
การวิเคราะห์ปริมาณเป็นเทคนิคที่ใช้ในการกำหนดการซื้อขายที่คุณจะทำโดยการค้นหาความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณและราคา
ในบางจุด ราคาจะแตะระดับแนวต้านในช่วงขาขึ้นและในตลาดไซด์เวย์ แนวโน้มหยุดและเริ่มอ่อนแรง เมื่อแรงขายเอาชนะแรงซื้อ เมื่อราคาทะลุระดับนั้นไป การพุ่งทะลุจะมีนัยสำคัญมากขึ้นหากปริมาณสูงหรือเหนือกว่าค่าเฉลี่ย การพุ่งทะลุพร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่ต่ำเป็นการบ่งบอกว่าอาจไม่มีความกระตือรือร้นในการเคลื่อนไหว
แนวโน้มขาขึ้นพร้อมกับปริมาณที่เพิ่มขึ้นและ/หรือสูงกว่าค่าเฉลี่ย แสดงให้เห็นถึงความกระตือรือร้นของนักลงทุนที่มีต่อสินทรัพย์นั้น ซึ่งนำไปสู่การเข้าซื้อและราคาที่สูงขึ้น
แนวโน้มขาขึ้นโดยที่ไม่มีปริมาณที่เพิ่มขึ้นและ/หรือที่สูงกว่าค่าเฉลี่ย แสดงให้เห็นถึงความกระตือรือร้นของนักลงทุนที่มีจำกัด ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณถึงการกลับตัวที่จะเกิดขึ้น
ในบางจุด ราคาจะแตะระดับแนวรับในช่วงขาลงและในตลาดไซด์เวย์ แนวโน้มหยุดและเริ่มอ่อนแรงลง เมื่อแรงซื้อเอาชนะแรงขาย เมื่อราคาทะลุระดับนั้นไป การพุ่งทะลุจะมีนัยสำคัญมากขึ้นหากปริมาณสูงหรือเหนือกว่าค่าเฉลี่ย การพุ่งทะลุพร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่ต่ำเป็นการบ่งบอกว่ามีความกระตือรือร้นในการเคลื่อนไหวต่ำ
แนวโน้มขาลงพร้อมกับปริมาณที่เพิ่มขึ้นและ/หรือที่สูงกว่าค่าเฉลี่ย หมายความว่านักลงทุนมีข้อสงสัยเกี่ยวกับหุ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การขายที่มากขึ้นและราคาที่ต่ำลง นี่เป็นช่วงเวลาที่เหมาะมากสำหรับการเปิด Sell
แนวโน้มขาลงพร้อมกับปริมาณที่ลดลงและ/หรือต่ำกว่าค่าเฉลี่ย แสดงถึงความกังวลของนักลงทุนที่จำกัด ในขณะที่ราคายังคงลดลง เทรดเดอร์ที่วิเคราะห์ปริมาณอาจเริ่มจับตาดูสัญญาณของการกลับตัวที่จะเกิดขึ้น ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากปริมาณที่เพิ่มขึ้น
ตามหลักการทั่วไปแล้ว กาพุ่งทะลุของราคาหรือแนวโน้มใดๆ ที่มาพร้อมกับปริมาณที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยอาจถือได้ว่ามีความสำคัญมากกว่าการเคลื่อนไหวของราคาที่ไม่ได้เกิดขึ้น
ตัวบ่งชี้ปริมาณเป็นสูตรทางคณิตศาสตร์ที่แสดงในแพลตฟอร์มการสร้างแผนภูมิที่ใช้บ่อยที่สุด ตัวบ่งชี้แต่ละตัวใช้สูตรที่แตกต่างกันเล็กน้อย และเทรดเดอร์ควรหาตัวบ่งชี้ที่เหมาะสมสำหรับแนวทางการตลาดเฉพาะของตนเองมากที่สุด
มีตัวบ่งชี้ปริมาณให้เลือกมากมาย และต่อไปนี้คือตัวอย่างวิธีที่เทรดเดอร์สามารถใช้ตัวบ่งชี้เหล่านี้ได้
On Balance Volume (OBV) เป็นตัวบ่งชี้ที่วัดแรงซื้อและแรงขาย มันเป็นตัวบ่งชี้สะสมที่เพิ่มปริมาณในวันที่เพิ่มขึ้นและลบปริมาณในวันที่ลดลง เมื่อสินทรัพย์ปิดสูงกว่าการปิดครั้งก่อนหน้า ปริมาณของวันทั้งหมดจะถือเป็นการเพิ่มปริมาณ เมื่อสินทรัพย์ปิดต่ำกว่าการปิดครั้งก่อนหน้า ปริมาณของวันทั้งหมดจะถือเป็นการลดปริมาณ มูลค่าที่แท้จริงของ OBV นั้นไม่สำคัญ ให้มุ่งความสนใจไปที่ทิศทางของมัน
Chaikin Money Flow (CMF) เป็นค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักตามปริมาณของการสะสมและการกระจายในช่วงเวลาที่กำหนด ระยะเวลา CMF มาตรฐานคือ 21 วัน หลักการเบื้องหลังของ Chaikin Money Flow คือยิ่งราคาปิดใกล้ราคาสูงสุดเท่าไร ก็ยิ่งมีการสะสมมากขึ้นเท่านั้น ในทางกลับกัน ยิ่งราคาปิดใกล้ราคาต่ำสุดมากเท่าไร ก็ยิ่งมีการกระจายมากขึ้นเท่านั้น หากการเคลื่อนไหวของราคาปิดเหนือจุดกึ่งกลางของแท่งอย่างต่อเนื่องจากปริมาณที่เพิ่มขึ้น Chaikin Money Flow จะเป็นค่าบวก ในทางตรงกันข้าม หากการเคลื่อนไหวของราคาปิดต่ำกว่าจุดกึ่งกลางของแท่งอย่างต่อเนื่องจากปริมาณที่เพิ่มขึ้น Chaikin Money Flow จะเป็นค่าลบ
Klinger Oscillator เป็นเครื่องมือทางการเงินที่คาดการณ์แนวโน้มระยะยาวของกระแสเงินในขณะที่ตรวจจับความผันผวนในระยะสั้น นอกจากนี้ยังคาดการณ์การกลับตัวของราคาในตลาดการเงินโดยการเปรียบเทียบปริมาณกับราคาอย่างกว้างขวางอีกด้วย
ดังที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น Klinger Volume Oscillator ประกอบด้วยเส้นสองเส้นและเส้นกึ่งกลาง โดยปกติ เส้นสองเส้นมักจะเป็นสีแดงและสีน้ำเงิน เส้นสีน้ำเงินคือสัญญาณ ในขณะที่เส้นสีแดงคือ Klinger
เช่นเดียวกับอินดิเคเตอร์ส่วนใหญ่ที่มีสองเส้น สิ่งสำคัญที่ต้องจับตาดูคือเมื่อมีการตัดกันเกิดขึ้นระหว่างเส้นสองเส้น อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องจับตามองคือเมื่อเส้นสองเส้นข้ามผ่านเส้นกึ่งกลางไป
สัญญาณซื้อมักจะปรากฏขึ้นเมื่อมีการตัดกันระหว่างสองเส้นใต้เส้นกึ่งกลาง ในทางกลับกัน สัญญาณขายจะเกิดขึ้นเมื่อมีการตัดกันระหว่างสองเส้นเหนือเส้นกึ่งกลาง
ปริมาณเป็นตัวบ่งชี้ที่สำคัญเกี่ยวกับความเชื่อมั่นของตลาดมาโดยตลอด เช่นเดียวกับตัวบ่งชี้ Aroon หรือ RSI ปริมาณสามารถช่วยให้เทรดเดอร์ยืนยันการพุ่งทะลุ ระบุการกลับตัวที่จะเกิดขึ้น และค้นหาการสะสมราคาได้ การเพิ่มตัวบ่งชี้ปริมาณเข้าไปในกลยุทธ์การซื้อขายของคุณจะช่วยปรับปรุงผลลัพธ์ของการซื้อขายและลดข้อผิดพลาดลงไปได้