ผู้กำกับญี่ปุ่นตีแผ่คนสู้ชีวิตที่อยู่อย่างผิดกฏหมาย ได้ทั้งแบบโลกหม่นโลกสวย จาก NOBODY KNOWS สู่ BROKER รีวิว
โพสท์นี้ขอแนะนำหนังใหม่ฉายโรงในประเทศไทยมาตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว (23 มิถุนายน 2565 ขณะนี้ยังมีฉายอยู่) เรื่อง BROKER จัดหารัก เป็นหนังชีวิตจากเกาหลีได้รับรางวัลและได้ฉายโชว์ในเทศกาลต่างๆ มาแล้วทั่วโลก ทำรายได้ไปเกือบ 10 ล้าน $ ซึ่งเป็นผลงานของผู้กำกับชาวญี่ปุ่น ฮิโรคาสุ โคเรเอดะ เจ้าของผลงาน NOBODY KNOWS อันลือลั่นเมื่อ 14 ปีที่แล้ว แจ้งเกิดเด็กชายยูยะ ยากิระ ให้คนได้รู้จักทั่วโลก
เนื่องจากทั้งสองเรื่อง ผู้กำกับ(และเขียนเรื่องเอง) ได้ตีแผ่สังคมของคนสู้ชีวิต หรือชนชั้นล่างอย่างน่าสนใจในสไตล์ที่แตกต่างกันลิบลับ โพสท์นี้ จึงอยากขอพูดถึงทั้งสองเรื่องเปรียบเทียบกันนะครับ ทั้งสองเรื่องได้รับคำชื่นชมจากเทศกาลเมืองคานส์ ได้รับคะแนนจากนักวิจารณ์ในระดับสูงทั้งคู่ NOBODY KNOWS ตีแผ่เรื่องเด็กยากไร้ในญี่ปุ่น ส่วน BROKER ตีแผ่ปัญหาเด็กกำพร้าในเกาหลี แต่ลักษณะการนำเสนอของผู้กำกับเดียวกันนี้แตกต่างอย่างสิ้นเชิง หนังญี่ปุ่นตีแผ่ออกมาอย่างหมองหม่นดูแล้วสลดหดหู่ แต่หนังเกาหลีกลับดูแล้วโลกสวยได้กำลังใจ ทั้งๆ ที่เป็นปัญหาใหญ่ของสังคมเหมือนๆ กัน
NOBODY KNOWS กล่าวถึงเด็กชายที่ถูกแม่ทิ้งให้เขาอยู่บ้านลำพังกับพี่น้องอีกสองคนจนบ้านถูกตัดน้ำตัดไฟ ต้องดำรงชีวิตกันเอง ขอเศษข้าวเขากิน อาบน้ำที่น้ำพุสวนสาธารณะ ดูแลตัวเองแทบไม่ได้ ขาดทักษะความรู้ไร้การศึกษา ทำอะไรก็มีแต่ความผิดพลาดทุกกรณี น้องเล็กได้รับอุบัติเหตุป่วยตายก็ดูแลช่วยเหลือไม่ได้ ต้องจับศพน้องยัดใส่กระเป๋าเดินทางไปฝังดิน แถมเด็กเหล่านี้ก็ไม่มีตัวตนตามกฏหมาย ไม่มีบัตรใดๆ ไม่มีชื่อ ไม่มีใครรู้จัก และที่สำคัญ จนป่านนี้เราก็ยังไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ (ทางญี่ปุ่นน่าจะปฏิเสธ) ดูแล้วเศร้าสลดหดหู่เป็นอย่างยิ่ง
BROKER กล่าวถึงสังคมท้องไม่พึงประสงค์ในเกาหลี มีกลุ่มอาชญากรหัวใสรับทำหน้าที่นำเด็กไปขายให้กับผู้สนใจ หนังเรื่องนี้ดูเป็นหนังเพื่อความบันเทิงกว่ากันมาก มีเนื้อเรื่อง (เรื่องแรกเหมือนเป็นสารคดีชีวิตที่ดูแล้วเหมือนเด็กชายยูยะ ไม่ได้สู้ชีวิตอะไรเลย แต่ปล่อยให้ชีวิตเป็นไปตามยถากรรม) เรื่องชวนติดตาม มีแม่กลับมาตามหาเด็ก มีตำรวจไล่จับ มีคนรู้ความลับ แต่การนำเสนอของหนังแม้ว่าจะเต็มไปด้วยปัญหาคนยากไร้เด็กกำพร้า แต่หนังกลับทำออกมาให้คนดูรู้สึกอบอุ่น มีกำลังใจ มีคนพร้อมให้การช่วยเหลือและเห็นอกเห็นใจตลอดเวลา
ไม่รู้เหมือนกันว่าผู้กำกับเกลียดประเทศตัวเองและอวยประเทศเกาหลีหรือไม่ ตามความรู้สึกของคนทั่วไปดูจะขัดแย้งกันเพราะ ภาพลักษณ์ที่เห็นทั่วไปเหมือนคนญี่ปุ่นโอบอ้อมอารีสุภาพช่วยเหลือ คนเกาหลีต่างหากที่แบ่งชนชั้นและมุ่งมั่นยกระดับเฉพาะตัวเองและพวกพ้อง แต่ผู้กำกับกลับนำเสนอในลักษณะตรงข้ามความรู้สึกทั้งสองเรื่อง
ถึงอย่างไรทั้งสองเรื่องก็เป็นหนังที่ดีอยู่ในความทรงจำและอยากแนะนำให้ลองรับชมกันครับ












