เสี่ยงเบาหวาน!! 5 สัญญาณเตือน??
บางคนอาจจะยังคิดว่าเบาหวานเป็นโรคของกรรมพันธ์ุ และถ้าคนในครอบครัวไม่มีใครเป็นโรคเบาหวานอาจจะทำให้เผลอและไม่รู้ตัวคิดว่าไม่มีความเสี่ยง แต่จริงๆ แล้วเบาหวานชนิดที่ 2 ที่คนไทยกว่า 95% เป็นกันนั้นไม่ได้มาจากกรรมพันธ์ุ แต่มาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต ซึ่งสัญญาณเตือนเบาหวาน 5 ข้อนี้ หากมีแค่ข้อเดียวก็มีความเสี่ยงที่จะเป็นเบาหวานแล้ว จำเป็นที่จะต้องรีบปรับเพื่อให้ห่างไกลจากโรคเบาหวาน
5 สัญญาณเตือนเสี่ยงเบาหวาน
1.น้ำหนักเกินและโรคอ้วน
บางคนอาจจะทราบอยู่แล้วว่าโรคอ้วนเป็นความเสี่ยงที่เกี่ยวกับระบบเผาผลาญ ซึ่งเบาหวานก็เป็นหนึ่งในนั้น รวมไปถึงโรคความดัน โรคหลอดเลือดสมอง โรคหลอดเลือดหัวใจ ไขมันเกาะตับ โรคเก๊าท์ ความอ้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคเหล่านี้
แบบไหนที่จะเรียกว่าเป็นอ้วนและมีความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน
-สังเกตได้ง่ายๆ บริเวณข้อพับไม่ว่าจะเป็นคอ ขาหนีบ รักแร้ เกิดเป็นรอยดำที่เรียกว่า Acanthosis Nigricans รอยดำตามข้อพับต่างๆ บ่งบอกว่าคุณมีภาวะดื้ออินซูลิน ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคเบาหวาน ลองสังเกตตัวเองถ้าหากว่าคุณเริ่มมีรอยดำนี้เริ่มมีความเสี่ยงแล้ว
-แนะนำให้เช็คค่าน้ำตาล และถ้ามีค่า BMI >30(ดัชนีมวลกายมากกว่า 30) แสดงว่าคุณมีความเสี่ยงสูงต่อการที่จะเป็นเบาหวานตามมา
-วิธีคิด BMI = น้ำหนักตัว(kg)/ส่วนสูง(m)ยกกำลัง2
ยกตัวอย่าง เช่น ผู้หญิง น้ำหนัก 50 กิโลกรัม ส่วนสูง 160 เซนติเมตร ดัชนีมวลกาย (BMI) = 50 ÷ (1.60 * 1.60) ดัชนีมวลกาย (BMI) = 50 ÷ 2.56
-ในคนเอเชียรวมถึงคนไทย หากมีค่า BMI >23 (ค่า BMI มากกว่า 23 หมายความว่า เริ่มอวบแล้ว) หากค่า BMI > 30 หมายความว่า มีความเสี่ยงสูงแล้วให้รีบลดน้ำหนัก
-วิธีการดูที่ละเอียดขึ้นคือการตรวจองค์ประกอบของร่างกาย(Body Composition) ในผู้หญิงหากมี % ไขมันในร่างกายมากกว่า 30% ในผู้ชายมากว่า 25% ถือว่ามีความเสี่ยงสูง (บางเวปแค่กรอกสัดส่วน จะคำนวณให้เลยลองหาดูในกูเกิล)
2.ผอมแต่มีพุง อายุมากขึ้น คนอาจจะเข้าใจว่าโรคเบาหวานเป็นในคนอ้วนเท่านั้น แต่หลายคนที่ผอมและเป็นเบาหวานก็จำนวนไม่น้อยเลย สาเหตุที่เป็นเนื่องจากอายุที่มากขึ้น ระบบเผาผลาญลดลง มวลกล้ามเนื้อน้อยลง ทำให้พลังงานจากอาหารที่กินเกินเข้าไปเปลี่ยนรูปและสะสมเป็นไขมันที่อยู่ในช่องท้อง อยู่ในอวัยภายในหรือเรียกว่า Viscerral Fat = ไขมันอวัยวะภายใน ปัจจัยนี้แหละที่ทำให้มีความเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวาน
จะสังเกตได้ว่าเมื่ออายุเริ่มเข้าเลข 3 ตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป ระบบเผาผลาญจะเริ่มน้อยลง ร่างกายเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง จากที่ไม่มีพุงจะเริ่มมีพุง ถ้าหากว่ายังไม่ปรับพฤติกรรมการกินอาหาร การออกกำลังกายให้ถูกต้อง ในอนาคตก็จะมีความเสี่ยงในการเป็นเบาหวานได้เมื่ออายุมากกว่านี้ เพราะระบบเผาผลาญหรือมวลกล้ามเนื้อจะลดลงในทุกๆ ปีอยู่แล้ว ซึ่งเป็นธรรมชาติเป็นความเสื่อมของร่างกาย
3.ไม่เคยออกกำลังกายเลย และบวกกับการนั่งทำงานเป็นประจำไม่ค่อยได้ขยับร่างกาย ไม่ค่อยมีกิจกรรมประจำวันเท่าไร ซึ่งปัจจัยนี้จะเป็นความเสี่ยงให้คุณเบาหวานได้ เพราะว่าโรคเบาหวานชนิดที่ 2 เกิดจากภาวะดื้ออินซูลินหรือที่เข้าใจง่ายๆ คือระบบเผาผลาญน้อยลง
และหากว่ากินอาหารเข้าไปมากกว่าพลังงานที่ทำกิจกรรมในแต่ละวัน สะสมมากเข้าไปทุกวันอนาคตก็มีโอกาสที่จะเป็นเบาหวานได้ เพราะโรคเบาหวานเกิดจากการสะสมพลังงานส่วนเกินมาเป็นระยะเวลานานๆ ซึ่งแต่ละคนก็ใช้เวลาไม่เท่ากันในการสะสม บางคนก็เป็นเร็วตั้งแต่อายุ 20 กว่าๆ บางคนก็เจอตอนอายุมาก หากยังไม่เริ่มออกกำลังกายแนะนำให้เริ่มออกสัก 5-10 นาที ก็ยังดี เมื่อได้ออกกำลังกายแล้วสังเกตว่าร่างกายจะแข็งแรงขึ้นและจะออกกำลังกายได้มากขึ้นตามคำแนะนำขององค์กรอนามัยโลก คือ 150 นาที/สัปดาห์ และควรออกกำลังกายแบบมีแรงต้านด้วยเพื่อเพิ่มมวลกล้ามเนื้อที่สลายหายไปในแต่ละปีที่มีอายุมากขึ้น การรักษามวลกล้ามเนื้อเอาไว้เหมือนกับการเพิ่มการเผาผลาญพลังงานให้กับร่างกาย ทำให้ลดโอกาสและความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานในอนาคตได้
4.มีพฤติกรรมเลียนแบบคนในครอบครัวที่เป็นเบาหวาน ครอบครัวไหนที่มีคนเป็นเบาหวานมักพบว่าลูกๆ หรือหลานๆ บางคนจะเป็นเบาหวานเหมือนกันได้ ทำให้เข้าใจว่าเบาหวานเป็นกรรมพันธ์ุ แต่จริงๆ แล้วเบาหวานชนิดที่ 2 ไม่ได้เกิดจากการเป็นกรรมพันธ์ุ แต่เกิดจากพฤติกรรมการเลียนแบบในเรื่องของการใช้ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นนิสัยติดหวาน กินเก่ง ชอบกินจุบจิบ กินตลอดเวลา กินอาหารแปรรูปบ่อยๆ ขาดการออกกำลังกาย พฤติกรรมเหล่านี้มักจะเป็นพฤติกรรมที่เลียนแบบ เมื่อลูกเริ่มโตขึ้นมักจะกินและใช้ชีวิตแบบพ่อแม่ที่เป็นเบาหวาน เลยเข้าใจว่าเบาหวานเป็นกรรมพันธ์ุซึ่งถ้าเกิดจากกรรมพันธ์ุต้องเป็นตั้งแต่เกิดแล้ว
5.ตรวจเลือดเพื่อดูค่าน้ำตาล เป็นสัญญาณที่แม่นยำที่สุดตามเกณฑ์ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อเบาหวานFBS (Fasting Blood Sugar) 101-125mg% หากว่าเกิน 126 ขึ้นไปแสดงว่าเข้าเกณฑ์เบาหวานแล้ว
หรือถ้าแม่นยำกว่านั้นตรวจค่า HbA1C (น้ำตาลสะสมในเลือด) มีค่าอยู่ที่ 5.8-6.4 mg% คือเริ่มมีความเสี่ยง ถ้าค่าอยู่ที่ 6.5 ขึ้นไป คือเข้าเกณฑ์เบาหวานแล้ว ในคนปกติต้องมีค่าน้อยกว่า 5.7
ขอขอบคุณ หมอปอ SugarFreedom
พญ.สุพิชชา แสงทองพราว
https://www.youtube.com/watch?v=caEovoQQ8Xc
ภาพโดย Michal Jarmoluk จาก Pixabay
ภาพโดย StartupStockPhotos จาก Pixabay
https://pantip.com/topic/39107732