นุนชิ (눈치) ทักษะการเอาตัวรอดของคนเกาหลี
นุนชิ (눈치) ทักษะการเอาตัวรอดของคนเกาหลี
눈치 (นุนชิ) คืออะไร?
หากทำการค้นหาคำว่า "눈치" (นุนชิ) จากพจนานุกรมจะเจอความหมายว่า การเข้าใจจิตใจของผู้อื่นตามสถานการณ์นั้นได้ทัน" ซึ่งพออ่านแล้วหลายคนอาจจะยังไม่เข้าใจว่าหมายความว่าอย่างไร? แต่ไม่ต้องกังวลค่ะต่อไปเราจะอธิบายความหมายของคำนี้ตามสถานการณ์ต่างๆกัน
สำหรับคนเกาหลีใครที่มีทักษะ "눈치" (นุนชิ) จะถือเป็นทักษะพิเศษ เพราะจะทำให้สามารถเข้าใจและอ่านใจของฝ่ายตรงข้ามได้ค่ะ
แน่นอนว่าไม่ใช่เฉพาะในเกาหลีเท่านั้นการใช้ชีวิตในประเทศอื่นๆก็ถือเป็นทักษะที่สำคัญเหมือนกัน แต่การมี "눈치" (นุนชิ) ในเกาหลีถือเป็นสิ่งที่สำคัญเพราะจะทำให้ปรับตัวเข้ากับสังคมได้ค่ะ
ด้านบนเป็นหนังสือชื่อว่า "THE POWER OF NUNCHI" ซึ่งเขียนบรรยายเกี่ยวกับทักษะ "눈치" (นุนชิ) ของเกาหลีค่ะ
ทำไม "눈치" (นุนชิ) ถึงสำคัญ?
ทำไมคนเกาหลีถึงคิดว่าทักษะ "눈치" (นุนชิ) เป็นเรื่องสำคัญ? เพราะว่าคนเกาหลีเป็นคนประเภทนิสัยใจร้อนชอบทำอะไรเร็วๆ ดังนั้นการมีเซ้นต์ที่ปรับตามสถานการณ์ต่างๆจึงเป็นเรื่องสำคัญค่ะ ยกตัวอย่างเช่นหากในที่ทำงานมีคนที่ไม่ค่อยมีเซ้นต์หรือเป็นคนที่ไม่ค่อยเข้าใจคนอื่นก็อาจจะทำให้คนรอบข้างรู้สึกอึดอัดใจได้ค่ะ
คนเกาหลีอ่อนไหวต่อความคิดและปฏิกิริยาของคนอื่นและไม่เต็มใจอย่างยิ่งที่จะถูกคนอื่นมองว่าเป็นคนน่าหงุดหงิด ดังนั้นจึงพยายามทำตัวให้สมเหตุสมผลและคาดหวังให้คนอื่นทำแบบเดียวกันด้วยค่ะ
"눈치" (นุนชิ) กับสำนวนต่างๆในชีวิตประจำวัน
สำหรับคนเกาหลี "눈치" (นุนชิ) ถือเป็นอีกหนึ่งวัฒนธรรมของสังคมดังนั้นจะเห็นได้ทั้งจากรายการ ภาพยนตร์ ซีรีส์ต่างๆของเกาหลี แต่ก็ถือเป็นเรื่องยากมากสำหรับคนต่างชาติที่จะเข้าใจ ดังนั้นวันนี้เราจะมาอธิบายให้ทุกคนฟังค่ะ
1) 눈치가 빠르다. > 눈치가 있다. > 눈치가 느리다. > 눈치가 없다.
นุนชิกา ปารือดา > นุนชิกา อิดตา > นุนชิกา นือรีดา > นุนชิกา ออบตา
สำหรับคนเกาหลีคิดว่าการมีเซ้นต์ที่ดีจะทำให้สามารถตอบสนองกับสถานการณ์ต่างๆได้อย่างรวดเร็วและแก้ปัญหาได้ซึ่งคล้ายกับทักษะ "눈치" (นุนชิ) ค่ะ
สำหรับคนที่มีเซ้นต์ที่ดีเรียกว่า "눈치가 빠르다" คนที่มีเซ้นต์เรียกว่า "눈치가 있다" แต่ในทางตรงกันข้ามคนที่ตามสถานการณ์ไม่ทันจะถูกเรียกว่า "눈치가 느리다" แต่สำหรับคนที่ไม่มีเซ้นต์ใดๆเลยจะเรียกว่า "눈치가 없다" ค่ะ
2) 눈치를 보다. 눈치를 살피다. (นุนชิรึล โบดา, นุนชิรึล ซัลพีดา)
หมายถึงการมองหรือพิจารณาสถานการณ์รอบข้างในขณะนั้นและคิดเพื่อที่จะตอบสนองสถานการณ์ออกมาให้ดีที่สุดไม่ว่าจะเป็นในสถานการณ์ที่แย่หรือสถานการณ์ที่เกิดจากความผิดของตัวเองคนที่มีทักษะ "눈치" (นุนชิ) ก็จะสามารถแก้ไขได้ดีและทันทีค่ะ
ในเรื่อง My Roommate Is a Gumiho ที่ฮเยริและกียงแสดงด้วยกัน ด้วยความที่เคมีเข้ากันมากๆจนคนดูจิ้น แต่ในความจริงฮเยริมีแฟนแล้ว ทำให้คนดูแอบกังวลว่าแฟนตัวจริงจะคิดยังไง ซึ่งก็เป็น "눈치" (นุนชิ) ที่ตลกมากๆค่ะ
ถึงแม้ทักษะ "눈치" (นุนชิ) จะช่วยทำให้สามารถเอาชีวิตรอดในสังคมเกาหลีได้แต่กรที่ใช้ "눈치" (นุนชิ) มากๆก็ทำให้รู้สึกเครียดเหมือนกันค่ะ ซึ่งคนแบบนี้ก็จะถูกเรียกว่า "눈치를 너무 많이 보는 사람"
3) 눈치를 챙기다. 눈치를 채다. (นุนชิรึล แชงกีดา, นุนชิรึล แชดา)
สำนวนนี้คล้ายกับ "눈치를 보다/살피다" แต่มีความหมายคือคนที่สามารถรู้ว่าควรจะทำตัวแบบไหนหรือมีปฏิกริยาอย่างไรในสถานการณ์ต่างๆ
4) 눈치껏 행동하다. (นุนชิแกช แฮงดงฮาดา)
หมายความว่าการใช้ทักษะ "눈치" (นุนชิ) เพื่อให้ตอบสนองกับสถานการณ์อย่างถูกต้อง คล้ายกับความหมายของการมีเซ้นต์ที่ดี
5) 눈치 주다. / 눈치 챙겨! / 눈치가 없니? (นุนชิ จูดา/ นุนชิ แชงกยอ/ นุนชิกา ออบนิ?)
เป็นประโยคที่ใช้พูดกับคนที่อ่านสถานการณ์ไม่ออกหรือคนที่ไม่มีเซ้นต์ค่ะ เหมือนกับการบอกว่า "ให้ลองมองดีๆซิ" หรือ "ให้ลองใส่ใจรายละเอียด" อาจจะเป็นคำถามเชิงรำคาญใจนิดหน่อยว่า "너 왜 이렇게 눈치가 없니?" แปลว่าทำไมเป็นคนไม่มีเซ้นต์แบบนี้นะ?
สถานการณ์ที่จำเป็นต้องใช้ทักษะ "눈치" (นุนชิ)
ด้านบนเราได้ยกตัวอย่างสำนวนเกี่ยวกับทักษะ "눈치" (นุนชิ) กันแล้วต่อไปเราจะมายกตัวอย่างสถานการณ์และวัฒนธรรมในเกาหลีเพื่อให้ทุกคนได้เข้าใจง่ายมากขึ้นค่ะ
1) ตอนที่ใช้ระบบขนส่งสาธารณะ
เวลาที่ต้องขึ้นรถเมล์หรือรถไฟใต้ดินที่เกาหลีจะต้องใช้บัตรเพื่อจ่ายเงิน สำหรับคนเกาหลีก่อนที่จะขึ้นรถก็มักจะเตรียมบัตรเอาไว้ก่อน แต่ถ้าสมมุติคนข้างหน้าไม่เตรียมบัตรออกมาก่อน ก็อาจจะโดนคนที่ต่อแถวอยู่ด้านหลังมองแรงได้ค่ะ
การรอรถเมล์ที่ป้ายในเกาหลีคนส่วนใหญ่จะมองหรือเล่นโทรศัพท์มือถือหากรถที่กำลังจะเข้ามาไม่ใช่สายที่ตัวเองต้องการขึ้น ดังนั้นคนขับรถก็จะสังเกตว่าหากคนที่ยืนรอจ้องมือถือเค้าก็จะไม่ได้จอดหรืออาจจะไม่ได้ชะลอเพื่อรับคนขึ้นค่ะ
นี่ถือเป็นทักษะ "눈치" (นุนชิ) พี่คนขับรถใช้สังเกตเพื่อจะได้ไม่ต้องชะลอรถในป้ายที่ไม่มีผู้โดยสารค่ะ
หากสังเกตุดูดีดีจะเห็นว่าคนที่กำลังเตรียมลงป้ายถัดไปจะเริ่มเตรียมกระเป๋าและลุกขึ้นมา ซึ่งผู้โดยสารที่นั่งข้างๆจะใช้ทักษะ "눈치" (นุนชิ) เพื่อสังเกตว่าคนข้างๆกำลังจะลุกและก็จะเปิดทางให้คนด้านในออกง่ายมากขึ้น และคนที่รอที่นั่งอยู่ก็จากสังเกตเห็นและหาที่นั่งได้ค่ะ
ตอนนี้ที่เกาหลีการเข้าใช้สถานที่สาธารณะจำเป็นต้องสแกน QR Code ก่อน ดังนั้นคนเกาหลีทุกคนจะเตรียมเปิดโค้ดสำหรับใช้สแกนเอาไว้ล่วงหน้าค่ะ
ซึ่งในเกาหลีก็สามารถเปิดโค้ดผ่านแอปพลิเคชั่นได้หลากหลาย ดังนั้นจะเห็นภาพที่คนเกาหลีเปิดโทรศัพท์มือถือก่อนที่จะเดินเข้าอาคารหรือสถานที่สาธารณะต่างๆเป็นภาพชินตาค่ะ
ปุ่มปิดลิฟต์ในเกาหลีจะมีสีจางกว่าปุ่มเปิดอย่างเห็นได้ชัด เรื่องเพราะว่าคนเกาหลีมีนิสัยใจร้อนชอบให้ลิฟต์ปิดเร็วๆคนก็เลยกดปุ่มปิดเยอะมากค่ะ
ยังงั้นคนที่ยืนอยู่ข้างปุ่ม control จะเป็นคนกดปุ่มปิดอย่างอัตโนมัติถ้าหากคุณยืนอยู่ข้างแผงคอนโทรล แต่ไม่กดปิดก็จะทำให้คนเกาหลีที่อยู่ด้านหลังรู้สึกรำคาญใจได้ค่ะ
คุณเกาหลีมักจะมีวิธีการปฏิเสธอย่างสุภาพ ตัวอย่างเช่นหากคุณลุกเพื่อสละที่นั่งให้กับผู้สูงอายุแต่ว่าผู้สูงอายุปฏิเสธ (ความจริงเป็นการปฏิเสธเพื่อมารยาท) และคุณก็กลับลงไปนั่งที่เดิมก็จะทำให้บรรยากาศดูน่าอึดอัดค่ะ
เพราะความจริงแล้วการปฎิเสธของผู้สูงอายุไม่ได้มีความหมายว่าไม่ต้องการที่นั่งแต่เป็นการแสดงออกอย่างสุภาพและขอบคุณที่สละที่นั่งค่ะ สำหรับคนที่มี "눈치" (นุนชิ) ก็จะลุกและให้ผู้สูงอายุมานั่งทันทีถือเป็นวัฒนธรรมที่คนต่างชาติและคนเกาหลีบางคนก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ค่ะ
โดยเฉพาะให้ตอนนี้เนื่องจากมีสถานการณ์โควิดทำให้รัฐบาลขอความร่วมมือไม่ให้มีการรวมตัวกันดังนั้นแม่สามีก็มักจะบอกลูกสะใภ้ว่า "ไม่เป็นไรหรอกไม่ต้องมาที่บ้าน" แต่ในความเป็นจริงคุณแม่ก็รู้สึกเสียใจที่ไม่ได้เจอกับลูกชายและหลานๆค่ะ
แต่สุดท้ายลูกสะใภ้ก็จะรับรู้ได้ถึงความรู้สึกบางอย่างและก็จะต้องไปบ้านของแม่สามีเพื่อเยี่ยมอยู่ดีค่ะ
4) การต่อสู้และเกม "눈치" (นุนชิ)
การที่มีการรวมตัวกันหลายหลายคนจนทำให้เกิดสภาวะกดดันหรือเครียดตอนเรียกว่าการต่อสู้ด้วย "눈치" (นุนชิ) อย่างเช่นในรายการทีวีเกาหลีต่างๆจะมีการแข่งขันเกมที่อาจเรียกได้ว่าเป็นสงครามประสาท ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้ก็ถือเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ในชีวิตประจำวันของคนเกาหลีค่ะ
การข้ามถนนในเกาหลีถือเป็นเรื่องที่คนข้างอันตรายโดยเฉพาะบนถนนที่ไม่มีทางม้าลายจำเป็นต้องใช้ทักษะ "눈치" (นุนชิ) อย่างมากค่ะ โดยจะต้องคอยสังเกตว่ารถจะจอดให้หรือไม่หรือว่าจะมีมอเตอร์ไซค์ขับมาหรือเปล่า
เหมือนกับการเล่นเกม "눈치" (นุนชิ) ขอบคุณขับรถ เพราะถ้าพลาดก็อาจจะเกิดอันตรายได้โดยเฉพาะคนขับรถในเกาหลีที่ใจร้อนและมักจะไม่ได้จอดรอเป็นเวลานานๆค่ะ
5) ชีวิตในมหาวิทยาลัย
ชีวิตในมหาวิทยาลัยเกาหลีอยู่คู่กับการสั่งอาหารเดลิเวอรี่ดังนั้นการสั่งอาหารแต่ละครั้งจะต้องใช้เซ้นต์เลือกเมนูให้ดีค่ะ ตัวอย่างเช่นถ้ามีเพื่อนอยู่ด้วยกัน 6 คนแต่สั่งไก่ทอดมา 3 ตัวกว่าจะทำให้เพื่อนโกรธเพราะกินไม่พอได้ค่ะ
นอกจากนั้นคนเกาหลียังชอบกินไก่ทอดเป็นชีวิตจิตใจดังนั้นคนที่เป็นคนสั่งเมนูไก่ทอดจะต้องเลือกรสชาติที่ทุกคนสามารถกินได้และอร่อยถูกใจทุกคนค่ะ
ในคลาสเรียนของคนเกาหลีหากมีคำถามส่วนใหญ่คนจะไม่ยกมือเพื่อถามในตอนนั้นเพราะจะเป็นการทำลายสมาธิการเรียนของคนอื่นๆค่ะ
ดังนั้นคนที่มีคำถามจะต้องใช้ทักษะ "눈치" (นุนชิ) เพื่อสังเกตนักเรียนคนอื่นๆโดยอาจจะถามในตอนที่คลาสเรียนจบแล้วหรือตอนเวลาพักหรืออาจจะตามครูไปที่ห้องพักเพื่อถามคำถามแทนค่ะ
6) ชีวิตในที่ทำงาน
การทำงานในบริษัทที่เกาหลีจำเป็นต้องทำงานร่วมกับคนจำนวนมากดังนั้นเซ้นต์จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก
ตามร้านอาหารส่วนใหญ่ในเกาหลีจะต้องเตรียมช้อน ตะเกียบขึ้นมาเอง ดังนั้นคนที่นั่งอยู่ข้างที่ใส่ช้อนและตะเกียบจะต้องเป็นผู้ที่นำออกมาจัดวางให้คนอื่นๆ จากนั้นคนที่อยู่ข้างขวดใส่น้ำจะต้องเป็นคนที่เทน้ำให้กับคนอื่นๆด้วยค่ะ
พนักงานในเกาหลีส่วนใหญ่มักจะไปกินอาหารที่ร้านเนื้อย่าง หากเป็นบริษัทที่ถือความอาวุโสเป็นหลัก ถือเป็นธรรมเนียมที่ผู้ที่อายุน้อยกว่าจะต้องทำหน้าที่ในการย่างเนื้อเพื่อให้ผู้ที่อาวุโสกว่าค่ะ
แล้วคนที่ไม่ได้ทำหน้าที่ย่างเนื้อจะต้องทำอะไร ? ก็สามารถช่วยคีบเนื้อใส่จานให้เพื่อนคนที่เป็นคนย่างเนื้อหรือจะใช้ตะเกียบช่วยพลิกเนื้อก็ได้ค่ะ
นอกจากนั้นสถานการณ์ที่จะถูกมองแรงมากที่สุดก็คือตอนเวลาเลิกงาน โดยเฉพาะคนที่เลิกงานก่อนคนอื่นจะถูกมองแรงมากๆ ดังนั้นคนเกาหลีส่วนใหญ่ก็เลือกที่จะนั่งอยู่ในที่ทำงานจนทุกๆคนลูกออกไปพร้อมกันค่ะ
แต่วัฒนธรรมนี้ก็ดูไม่ยุติธรรมเลยสำหรับคนที่มาทำงานก่อน ดังนั้นหลายบริษัทในเกาหลีจึงเปลี่ยนวิธีการเลิกงานโดยที่ไม่จำเป็นต้องแจ้งหัวหน้าว่าจะกลับบ้านแล้วเพื่อหลีกเลี่ยงสายตาจากคนอื่นอื่นค่ะ !
7) ตอนที่ทำงานพิเศษ
พนักงานพาร์ทไทม์มักจะได้รับความรู้สึกที่กดดันจากเจ้าของร้าน แม้ว่าพวกเขาจะถูกจ้างมาเพื่อทำหน้าที่อื่น เจ้าของร้านก็มักจะคาดหวังให้พวกเขาทำทุกอย่างทั้งทำความสะอาด เก็บกวาด ทิ้งขยะค่ะ
พนักงานที่มีไหวพริบที่ดีก็จะทำงานทุกอย่างโดยที่ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าของร้านมาออกคำสั่ง แต่ก็ถือว่าไม่ยุติธรรมเหมือนกันเพราะการที่จะต้องทำงานทุกอย่างพนักงานพาร์ทไทม์จะต้องใช้เวลามากกว่าเวลาปกติค่ะ
การใช้วัฒนธรรม "눈치" (นุนชิ) มากเกินไป
ล่าสุดมีการรีวิวไก่ทอดบนแอพพลิเคชั่นสั่งอาหารเดลิเวอรี่ในเกาหลีโดยข้อความระบุว่า "ทางร้านไม่มีเซ้นต์เพราะปรุงไก่เผ็ดเกินไปทำให้ลูกของคนสั่งกินไม่ได้" ทั้งที่ในความจริงแล้วรสชาติของไก่นั้นก็ถูกระบุเอาไว้ตั้งแต่ต้นแต่เจ้าของรีวิวกลับโทษว่าร้านไม่มีเซ้นต์ในการปรุงค่ะ
การใช้ทักษะ "눈치" (นุนชิ) เป็นเรื่องที่สำคัญมากๆอย่างเช่นในกรณีที่เรายกตัวอย่างการแสดงความคิดเห็นเดียวทำให้ร้านได้รับผลกระทบ และทำให้หลายฝ่ายได้รับความเครียดค่ะ