วิกฤตการส่งออกสินค้าเกษตรไทยไปจีน โดย สิริอัญญา วันอาทิตย์ที่ 17 เมษายน 2565
วิกฤตการส่งออกสินค้าเกษตรไทยไปจีน
โดย สิริอัญญา
วันอาทิตย์ที่ 17 เมษายน 2565
สองสัปดาห์ที่ผ่านมารัฐบาลได้โหมประโคมสร้างกระแสว่าได้ประสบความสำเร็จในการส่งออกทุเรียนไปยังประเทศจีน โดยในการส่งออกเที่ยวปฐมฤกษ์ในกลางเดือนมีนาคม 2565 จำนวนสองตู้ จากภาคอีสานและภาคตะวันออกของประเทศไทยขึ้นรถไฟเส้นทางสายไหมลาว-จีน ได้ขนส่งไปถึงประเทศจีนได้เรียบร้อยในเวลาแค่ 3 วันครึ่ง
ที่น่าแปลกใจก็คือมีการโหมประโคมสร้างกระแสเรื่องนี้กันหลายรอบหลายหน แม้กระทั่งนายกรัฐมนตรีเองก็ชื่นชมในความสำเร็จอันยิ่งใหญ่นี้ ถึงกับแถลงว่าจะเร่งส่งออกผลไม้ไทยโดยเส้นทางดังกล่าวเพื่อช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรให้ทันท่วงที
ใครที่ไม่ทราบความจริงในเรื่องนี้ และไม่ทราบรายละเอียดของการส่งออกในเรื่องนี้ เมื่อได้ฟังการโหมกระแสข่าวแบบนี้ที่นายกรัฐมนตรียังออกปากเองนั้นก็หลงใหลได้ปลื้ม หลงคิดว่าเป็นความสำเร็จและหลงเชื่อว่าได้แก้ไขปัญหาการส่งออกผลไม้ไทยไปจีนในฤดูกาลผลิตนี้เรียบร้อยไปแล้ว
แต่แท้จริงเป็นเรื่องตรงกันข้าม เป็นเรื่องน่าสลดใจ เป็นเรื่องน่าอเนจอนาถใจ และจะก่อให้เกิดหายนะอย่างใหญ่หลวงแก่ภาคเกษตรกร โดยเฉพาะบรรดาผู้ปลูกผลไม้ทั้งในภาคเหนือภาคอีสานและภาคตะวันออกที่อาจไม่มีทางแก้ไขได้อีกเลย
ดังนั้นจึงควรทำความเข้าใจเรื่องนี้กันอย่างถ่องแท้สักครั้งหนึ่งในประการดังต่อไปนี้
ประการแรก ต้องทำความเข้าใจว่าในฤดูกาลผลิตปี 2565 นี้ ข้อมูลทางการระบุว่าจะมีทุเรียนจำนวนถึง 740,000 ตัน มังคุด 250,000 ตัน ลำไยประมาณ 2,000,000 ตัน ยังไม่รวมถึงผลไม้อย่างอื่นเช่นมะม่วง เงาะ ส้มโอ และอื่น ๆ สิริรวมแล้วประมาณ 3,500,000 ตัน และมีระยะการส่งออกตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนมิถุนายน 2565 เพราะจากนั้นก็เป็นฤดูฝนแล้ว
การส่งออกผลไม้ดังกล่าวให้ทันฤดูกาลและทันท่วงทีจะทำให้ราคาผลไม้ในประเทศไม่ตกต่ำและเกษตรกรก็จะไม่เดือดร้อน ดังนั้นระยะเวลาอันจำกัดนี้จึงเป็นความเร่งด่วนสูงสุด
ประการที่สอง สินค้าจำพวกผลไม้ดังกล่าวนั้นเกือบทั้งหมดส่งไปยังประเทศจีน โดยเส้นทางสามเส้นทาง คือทางแม่น้ำโขงและทางบก ซึ่งประกอบด้วยทางถนนสาย R3A และทางรถไฟสายเวียงจันทน์-คุนหมิง หรือเส้นทางสายเมืองดั่งดงของเวียดนามไปยังมณฑลกวางสีของจีน และโดยทางทะเลผ่านทางแหลมฉบัง มาบตาพุด เส้นทางเหล่านี้เป็นเส้นทางทั้งหมดในการขนส่งผลไม้ไทยไปจีน แต่เพราะการขนส่งทางทะเลใช้เวลานานมาก ผลไม้จะเน่าเสีย ดังนั้นจึงมีผลไม้เพียงน้อยชนิดที่สามารถส่งทางเรือได้ และขณะนี้ก็ประสบปัญหาเพราะนโยบาย Zero-Covid ของจีน ไม่ยอมให้เรือสินค้าไทยเข้าเทียบท่า เพราะตรวจพบเชื้อไวรัสจึงไม่สามารถขนส่งทางเรือได้
ส่วนเส้นทางแม่น้ำโขงนั้น เพราะประเทศไทยเบี้ยวไม่เข้าร่วมพัฒนาแม่น้ำโขง จึงไม่สามารถส่งทางแม่น้ำโขงจากไทยเพราะตื้นเขินเรือเข้าเทียบท่าไม่ได้ จะต้องอาศัยเส้นทางขนส่งด้านประเทศลาว ซึ่งแต่ก่อนมาจะต้องขนใส่รถบรรทุกข้ามแม่น้ำโขงไปยังฝั่งประเทศลาวและไปลงเรือที่ใกล้กับเวียงจันทน์ ต่อมาก็ให้ส่งไกลออกไปที่ด่านโมฮัน ซึ่งอยู่กลางทางระหว่างลาว-จีน ซึ่งปิดบ้างเปิดบ้าง และถูกกำหนดให้ส่งที่ด่านบ่อเต็นซึ่งเป็นด่านชายแดนจีน-ลาว ทำให้ต้องขนส่งขึ้นรถลงเรือหลายรอบและเสียค่าใช้จ่ายสูงจึงแทบใช้ไม่ได้
สำหรับการขนส่งทางถนนเส้นทาง R3A ก็อยู่ระหว่างซ่อมบำรุงและไม่มีกำหนดแล้วเสร็จ จึงขนส่งโดยเส้นทางสายนี้ไม่สะดวก หรือถ้าจะดันทุรังก็เหมือนขนไปในเส้นทางวิบาก ช้าและเสียหายแก่สินค้ามาก
สำหรับเส้นทางรถไฟเส้นทางสายไหมเวียงจันทน์-คุนหมิงนั้น ตั้งแต่เปิดเดินรถมาถึงบัดนี้ 4 เดือนเศษ มีการขนส่งสินค้าทั้งสิ้นประมาณ 800,000 ตัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าของลาว กัมพูชาและจีน เนื่องจากแต่ละขบวนมีตู้สินค้าจำนวนน้อยและไม่อนุญาตให้สินค้าจากไทยขึ้นรถไฟสายนี้ไปเมืองจีน
เคยมีการไปกราบกรานไหว้วอนขอส่งผ่านเส้นทางสายนี้ ครั้งแรกได้รับอนุญาตให้ขนส่งได้ 1,000 ตันไปทางเมืองฉงชิ่ง จากนั้นก็เงียบหายไป และมีการไปอ้อนวอนครั้งใหม่ซึ่งเป็นเหตุให้แถลงข่าวสร้างกระแสกันยกใหญ่ นั่นคือการขนส่งจำนวน 2 ตู้ รวมน้ำหนัก 40 ตัน
ในการผ่อนผันครั้งนี้ถูกกำหนดเส้นทางขนส่งให้มีการขนส่งสินค้าโดยตู้คอนเทนเนอร์จากฝั่งไทยข้ามแม่น้ำโขงไปขึ้นรถไฟเส้นทางสายไหมเวียงจันทน์-คุนหมิง แต่ไม่อนุญาตให้ขนส่งตลอดไปจนถึงเมืองคุนหมิงซึ่งใช้เวลาเพียง 3.5 ชั่วโมง
แต่กำหนดให้ต้องไปขนถ่ายตู้สินค้าลงที่เมืองโมฮันซึ่งอยู่กลางทางเส้นทางบกสายลาว-จีน
เมื่อเอาตู้สินค้าลงที่ด่านโมฮันแล้วจะต้องว่าจ้างรถลากของลาวลากตู้สินค้าไปด่านบ่อเต็นชายแดนประเทศจีน และรถลากจากลาวก็ต้องหยุดขนส่งอยู่แต่เพียงเท่านั้นเพราะเข้าไปในดินแดนจีนไม่ได้ จะต้องไปว่าจ้างรถลากของจีนมาลากตู้สินค้าไปที่เมืองคุนหมิง ซึ่งใช้เวลารวมแล้ว 3 วันครึ่ง
ดังนั้นการขนส่งสินค้าสองตู้จำนวน 40 ตัน ที่แถลงกันว่าเป็นความสำเร็จยิ่งใหญ่นั้น แท้จริงก็คือเส้นทางมหาวิบากที่ต้องขนของขึ้นลงหลายรอบ และต้องว่าจ้างรถลากถึงสองต่อ เสียทั้งเวลา เสียทั้งค่าใช้จ่าย และยุ่งยากมากเรื่อง จึงมิใช่ความสำเร็จแต่ประการใด แท้จริงคือความล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาการขนส่งสินค้าเกษตรไทยไปจีนนั่นเอง
นับแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2565 ตัวเลขทางการส่งทุเรียนไปจีนรวมทั้งสิ้น 7,000 ตัน ส่วนใหญ่เป็นการขนส่งทางบก โดยเส้นทางหนองคายหรือนครพนม-เวียงจันทน์-ด่านโมฮัน-ด่านบ่อเต็น-คุนหมิง จำนวน 3,000 ตัน นอกนั้นเป็นการขนส่งทางเรือและทางอากาศเล็กน้อย ซึ่งหมายความว่าระยะเวลาสองเดือนเต็มขนสินค้าในเส้นทางสายนี้ได้เพียง 3,000 ตันเท่านั้น ยังเป็นตัวเลขที่ห่างไกลจากผลผลิตทุเรียน 740,000 ตัน และผลผลิตผลไม้รวม 3,500,000 ตันมากมายนัก
แล้วจะแก้ไขปัญหานี้กันอย่างไร อย่าดันทุรังทำให้ประชาชนและชาวสวนผลไม้หลงผิดต่อไปอีกเลย เพราะนั่นคือหายนะของพี่น้องเกษตรกรไทย เร่งรีบหาความจริงและแก้ไขปัญหาให้ตรงเป้าเข้าจุดจะดีกว่า.