หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม แต่งรูป คำคม Glitter สเปซ ไดอารี่ เกมถอดรหัสภาพ เกม วิดีโอ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

เพชรแท้ หรือ เพชรเทียม (2)

เพชรแท้ หรือ เพชรเทียม (2)

เพชรแท้ หรือ เพชรเทียม (2)
/////

คนเราอาจหลอกคนทั้งโลกได้ แต่ไม่มีวันหลอกตัวเองได้

การตระหนักรู้ใน "ความจริงของตัวเอง" ว่าเป็นเพชรแท้ หรือเป็นแค่เพชรเทียม ... จึงมีความสำคัญมากถึงมากที่สุดในการมีชีวิตและใช้ชีวิต อย่างอื่นนอกไปจากนั้นหาได้มีคุณค่าเทียบเท่าเลย ไม่ว่าชื่อเสียง อำนาจ หรือทรัพย์สินเงินทอง

นี่คือบทเรียนทางวิญญาณที่ล้ำค่าที่สุดในชีวิตนี้ของผม ...

ผมขอเล่าเรื่องต่อจากตอนที่แล้วนะ

......

วันรุ่งขึ้นพวกผมมาพร้อมหน้าที่บ้านผมก่อนเที่ยงพออาจารย์กู้เดินทางมาถึงทั้งหมดก็ขึ้นไปที่ห้องพระชั้นสี่ด้วยกัน

อาจารย์กู้สั่งให้ผมหยิบบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ที่ผมเพิ่งไปเปิดเมื่อสัปดาห์ที่แล้วด้วยเงินแค่สองพันบาทกับธนาคารแห่งหนึ่งที่สาขาใกล้บ้านผมที่สุดตามที่อาจารย์กู้ได้สั่งไว้ก่อนหน้านั้นออกมาแล้วถือกางให้อาจารย์กู้ดู

จากนั้นอาจารย์กู้ก็ใช้นิ้วเคาะไปที่โอ่งสีเขียวใบนั้น 6 ครั้งด้วยกัน

สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ตัวเลขบัญชีเงินฝากในสมุดบัญชีออมทรัพย์ของผมได้เพิ่มจากสองพันบาทเป็นหกหมื่นสองพันบาททันทีตรงนั้นเลย เหลือเชื่อจริงๆ!

"ด็อกเตอร์ไปทดลองเบิกเงินหกหมื่นบาทจากบัญชีนั้นตอนนี้เลย"

ผมกับพวกอีกหนึ่งคนรีบบึ่งรถออกจากบ้านไปที่สาขาธนาคารแห่งนั้นที่อยู่ใกล้บ้านผมที่สุดโดยไม่รอช้า ผมนึกในใจว่าจะเบิกเงินได้จริงหรือ แต่ก็ลองไปทำเรื่องเบิกดู

ปรากฏว่าผมสามารถเบิกเงินหกหมื่นออกมาได้จริงๆ พวกผมจึงรีบกลับ้านผมเพื่อไปหาอาจารย์กู้ที่ที่พักทันที

แน่นอนว่าในการต้มตุ๋น ผมผู้ถูกหลอกต้องคืนเงินหกหมื่นที่เพิ่งเบิกมานี้คืนให้อาจารย์กู้อยู่แล้ว เพราะอาจารย์กู้บอกกับผมว่าวันนี้แค่เป็นการทดลอง กว่าที่โอ่งสีเขียวใบนี้จะเสกเงินก้อนใหญ่ได้จริง ผมจะต้องผ่านพิธีครอบครูอีก 7 ครั้ง

"อาจารย์เสกเงินจากที่ไหนมาเข้าบัญชีของผมครับ?"

ผมถามอาจารย์กู้ตรงๆด้วยความเคลือบแคลง

ตอนนี้ผมพอเข้าใจกลวิธีในการ"เสกเงิน" ของอาจารย์กู้แล้ว แต่ผมอยากรู้ที่มาของเงินที่เสกมาด้วย เพราะถ้าเป็นเงินสกปรกผมก็ไม่ต้องการไม่ว่าจะมากมหาศาลแค่ไหนก็ตาม

"โดยปกติแบงค์ชาติจะทำลายธนบัตรที่เสื่อมสภาพแล้ว อาตมาแค่ใช้วิชารวมธาตุเรียกธนบัตรเหล่านั้นมาใส่ในบัญชีของด็อกเตอร์เท่านั้น"

นี่คือคำอธิบายของอาจารย์กู้แก่ตัวผมในวันนั้น ซึ่งผมรับฟังเอาไว้ แต่ลึกๆ ผมคิดว่าคำตอบที่แท้จริงว่าอาจารย์กู้สามารถเสกเงินสองพันล้านได้จริงหรือไม่นั้น คงต้องรอให้ผมทำพิธีครอบครูอีก 7 ครั้งเสียก่อน

ตอนนั้นแหละผมถึงจะทราบชัดว่าผมถูกอาจารย์กู้หลอกหรือเปล่า เพราะผมใช้จ่ายเงินไปกับการติดตามเรื่องอาจารย์กู้อย่างใกล้ชิดในช่วงสองสามเดือนเศษมานี้แค่ไม่กี่แสนบาทเท่านั้นเอง และไม่มีวี่แววว่าอาจารย์กู้จะเรียกร้องเงินจากผมมากไปกว่านี้

แต่แล้ว ก็เกิดเหตุการณ์ "เปรตคำชะโนด" ที่เริ่มจากการเผยแพร่วีดิโอมหัศมิติ(วีดิโอเปรต) ของกลุ่มดร.ไชย ณ พลที่สนามหลวงในงานสัปดาห์วิสาขบูชาเสียก่อน

หากมองย้อนหลังไปจากตอนนี้ ผมคิดว่าทริคที่อาจารย์กู้ใช้ในการ"เสกเงิน"ในวันนั้นเป็นดังต่อไปนี้

อาจารย์กู้รู้ว่าผมไปเปิดบัญชีออมทรัพย์ที่ธนาคารไหนสาขาใด จึงโอนเงินหกหมื่นใส่เข้าไปในบัญชีผมล่วงหน้าในวันนั้นตอนเช้า
แต่ตัวเลขในบัญชีที่ผมถืออยู่ยังไม่ขึ้นมา

จากนั้นอาจารย์กู้ก็ใช้ฤทธิ์เปลี่ยนตัวเลขในสมุดบัญชีผมให้ผมเห็นต่อหน้า (อาจารย์กู้สามารถทำให้ตัวเลขลอตเตอรี่ที่เพื่อนผมถืออยู่ในมือเปลี่ยนได้ต่อหน้าต่อตาผมแต่มันไม่ถูกหวยเท่านั้นเอง) แล้วค่อยสั่งให้ผมไปถอนเงินออกมา

ต่อให้นี่เป็นการต้มตุ๋น วิธีของอาจารย์กู้แบบนี้ก็ไม่ธรรมดาแล้ว

แต่อาจารย์กู้ทำแบบนี้ไปทำไมกันในเมื่อผมไม่ใช่เป้าหมายหลักในการต้มตุ๋นของอาจารย์กู้?

ในที่สุดผมก็ได้คิดว่า ตัวผมแต่น่าจะถูกหลอกใช้ เพื่อสร้างความน่าเชื่อในการไปหลอกพวกเศรษฐีที่โลภมากอีกทีหนึ่งมากกว่า

........

เหตุการณ์เปรตคำชะโนดที่เกิดขึ้นหลังจากการทดลองเสกเงินหกหมื่นบาทจากโอ่งสีเขียวที่ห้องพระผมของอาจารย์กู้ประสบความสำเร็จและผมสามารถไปเบิกเงินจากธนาคารมาได้จริง เป็นอะไรที่เหนือความคาดหมายของผม เพราะมาจากปัจจัยที่ตัวผมไม่สามารถควบคุมได้

นั่นคือการออกวิดีโอมหัศมิติ (วิดีโอเปรต) ของกลุ่มดร.ไชย ณ พล ด้วยเจตนาดีเพื่อหวังเผยแพร่ความสามารถในเรื่องฤทธิ์ของอาจารย์กู้ให้เป็นที่ประจักษ์แก่สาธารณชน

ขณะที่ตัวผมคิดต่างและเห็นต่างออกไป

สำหรับตัวผมในตอนนั้น ผมถือว่าตัวผมและอาจารย์กู้อยู่ในทีม "โปรเจคเสกเงินสองพันล้าน" ทีมเดียวกันแล้ว เพื่อเอาเงินนี้มาสร้างสำนักปฏิบัติธรรมและไว้ใช้กู้ชาติตามข้อเสนอที่อาจารย์กู้ได้เสนอแก่ตัวผม และผมยินดีรับข้อเสนอนั้นของอาจารย์กู้

ผมจึงมองว่าตัวผมสัมพันธ์กับอาจารย์กู้ แบบเดียวกับที่ผมได้สัมพันธ์กับท่านอาจารย์บูรพา ผดุงไทยเพื่อผลักดัน โปรเจคหลวงปู่ฤาษีเวชยันต์ในการยับยั้งภัยพิบัติโลกจนโปรเจคนี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดีในกลางปี 1999 นั่นเอง

ผมจึงมุ่งมั่นจดจ่อกับการผลักดันโปรเจคนี้ให้สำเร็จ

แต่พลันที่สื่อหลักโดยเฉพาะไทยรัฐจับเรื่องอาจารย์กู้และวิดีโอเปรตนี้มาเล่นเป็นข่าวหน้าหนึ่ง ตัวผมก็พลาดเองด้วยที่ไปออกแถลงข่าวที่ธรรมศาสตร์เร็วไปหน่อยเรื่องที่ผมคิดว่าอาจารย์กู้มีฤทธิ์จริง แต่สื่อหลักต่างๆโดยเฉพาะไทยรัฐกลับไปบิดเบือนข่าวว่าผมเชื่อว่าเปรตมีจริง

ทำให้ตัวผมกลายเป็นคู่กรณีกับไทยรัฐไป

ทั้งๆที่คู่กรณีตัวจริงน่าจะเป็นกลุ่มดร.ไชย ณ พล กับไทยรัฐต่างหากไม่ใช่ผม

แต่ในสายตาของสื่อหัวสีที่มุ่งขายข่าวมากกว่าขายความจริงอย่างไทยรัฐ

ดร.จากธรรมศาสตร์อย่างตัวผมเป็นเหยื่อโอชะยิ่งกว่าดร.ไชย ณ พลที่เป็นนักเขียนอิสระเสียอีก

ผมจึงถูกดึงไปเป็นเหยื่อของสื่อหัวสีอย่างไม่มีทางเลี่ยงเสียแล้ว

ขณะที่ดร.ไชย ณ พล และคณะคนดังของเขากลับหายตัวเข้ากลีบเมฆในช่วงนั้นปล่อยให้ผมรับศึกเพียงลำพัง และทอดทิ้งอาจารย์กู้ที่พวกเขานับถือว่าเป็น "คุรุสุดบูชา" ให้ผมออกมาปกป้องคนเดียวอย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย

หลังเหตุการณ์นี้จบลงหมาดๆ ผู้สื่อข่าวไทยรัฐที่เกาะติดเรื่องผมและอาจารย์กู้มาโดยตลอดคงรู้สึกผิดเหมือนกัน หลังจากที่พวกเขาใช้ความเป็นมืออาชีพของนักข่าวสืบเสาะเบื้องหลังของผมจนหมดสิ้นแล้วและคงเชื่อมั่นว่าผมเป็นผู้บริสุทธิ์และถูกหลอก

เขาจึงโทรมาหาผมโดยยื่นข้อเสนอว่า

"ทางเรายินดีตีพิมพ์บทสัมภาษณ์อาจารย์เพื่อช่วยล้างผิดให้อาจารย์ ขอเพียงอาจารย์ช่วยซัดทอดว่ากลุ่มดร.ไชย ณ พล อยู่เบื้องหลังการจัดฉากเรื่องเปรตนี้ทั้งหมดโดยร่วมมือกับอาจารย์กู้"

นี่เป็นข้อเสนอที่น่าเย้ายวนใจอย่างยิ่ง จริงมั้ย?

แต่ผมกลับปฏิเสธข้อเสนอนี้ของไทยรัฐไปอย่างสิ้นเชิง

เพราะผมมองความจริงของเหตุการณ์นี้ต่างไปจากไทยรัฐ สองเรื่อง คือ

(1) ไทยรัฐเชื่อว่าอาจารย์กู้ลวงโลกและไม่มีฤทธิ์จริง

ขณะที่ผมเชื่อว่าอาจารยย์กู้มีฤทธิ์จริงและน่าสงสัยว่าอาจจะเป็น 18 มงกุฏด้วยแต่ผมยังไม่มีหลักฐานที่ชัดแจ้งตอนนั้นแต่กำลังสืบค้นด้วยตนเองอยู่

(2) ไทยรัฐเชื่อว่ากลุ่มดร.ไชย ณ พลได้ร่วมมือจัดฉากเรื่องเปรตเพื่อต้มตุ๋นประชาชน

ขณะที่ผมเชื่อว่าดร.ไชย ณ พล ก็ถูกอาจารย์กู้หลอกเรื่องเปรตจัดฉากเหมือนผมเช่นกัน

อย่างที่ผมเคยบอกไปแล้วว่า ตัวผมยินดีเป็นหยกที่แหลกราญ ไม่ขอยอมเป็นกระเบื้องที่สมบูรณ์

แม้จนบัดนี้ ดร.ไชย ณพล คงไม่รู้หรอกว่าในตอนนั้นผมได้พยายามปกป้องชื่อเสียงของเขาอย่างสุดความสามารถและไม่หวั่นไหวต่อข้อเสนอที่น่าเย้ายวนของไทยรัฐเลยแม้แต่น้อย

.......

ผมเป็นคนที่มีนิสัยกล้าได้กล้าเสีย กล้าคิดกล้าลงมือทำ โดยไม่ลังเลรีรอ

แต่แล้วอยู่ดีๆก็เกิดเหตุการณ์เปรตคำชะโนดที่ถูกสื่อใหญ่ต่างๆหยิบมาเล่นจนได้ มิหนำซ้ำตัวผมยังกลายเป็นคู่กรณีกับสื่อต่างๆโดยตรงเสียด้วย

เรื่องราวพลิกผันยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อมีนายตำรวจมาหาผมที่บ้านเพื่อสอบถามที่อยู่ของอาจารย์กู้จะได้ตั้งข้อหาหลอกลวงประชาชน

แน่นอนว่าผมปฏิเสธให้ความร่วมมือกับตำรวจ เพราะตอนนั้นพิธีครอบครูผมเหลืออีกเพียงสองครั้งเท่านั้นก็จะประสบความสำเร็จ

ในช่วงนั้นสื่อและสังคมกดดันการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจมากในการออกตามล่าอาจารย์กู้ราวกับเป็นอาชญากรตัวฉกาจ ขณะเดียวกันสื่อต่างๆก็เริ่มแฉหรือเปิดเผยเบื้องหลังควาเป็นมาในอดีตของอาจารย์กู้ที่ตัวผมเองก็ไม่เคยรับรู้มาก่อน โดยเฉพาะเรื่องผู้หญิงหรือการไม่ถือพรหมจรรย์จนผมอดตั้งคำถามตรงๆกับอาจารย์กู้ที่ตอนนั้นต้องอยู่อย่างหลบๆซ่อนๆไม่ได้

สถานการณ์ในตอนนั้นเริ่มคับขันแล้วผมรู้สึกสังหรณ์ใจว่าการที่อาจารย์กู้จะถูกตำรวจจับกุมตัวคงเป็นเรื่องของเวลาเท่านั้นเอง

"อาจารย์ครับ เรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว ผมขอถามอาจารย์ตรงๆนะครับว่าอาจารย์เป็นพระอยู่หรือเปล่า ยังถือพรหมจรรย์อยู่หรือเปล่าหรือเป็นดังที่สื่อต่างๆเอามาเปิดโปงกัน"

ในที่สุดผมก็เอ่ยปากถามอาจารย์กู้ตรงๆ

"อาตมาถือพรหมจรรย์มาตลอดชีวิตนะ โยมด็อกเตอร์"

อาจารย์กู้ตอบกลับมาเช่นนั้น

"ถ้าหลวงพ่อยังยืนยันอยู่เช่นนั้น ผมจะปกป้องหลวงพ่ออย่างถึงที่สุดด้วยชีวิตของผมเอง"

นี่คือคำรับปากที่ผมได้ให้ไว้กับอาจารย์กู้

จากนั้นผมแอบพาอาจารย์กู้ออกไปสึกที่วัดแห่งหนึ่งเพื่อความสะดวกในการซ่อนตัว ผมต้องขอยืมรถของน้องชายมาขับเพื่อพาอาจารย์กู้ไปหลบซ่อนตามที่ต่างๆ

นายตำรวจที่มาหาผมที่บ้านชักร้อนตัวเพราะไม่สามารถตามหาอาจารย์กู้ได้เจอ แต่แล้วในคืนหนึ่งที่พวกผมนัดกับอาจารย์กู้จะไปทำพิธีครอบครูเป็นครั้งสุดท้ายบริเวณหน้าวัดพระแก้ว

พรรคพวกผมได้ทำเรื่องพลาดที่โทรมาหาผมที่บ้านแทนที่จะโทรผ่านมือถือเหมือนเช่นเคย

ทีมนายตำรวจที่แอบดักฟังโทรศัพท์ที่บ้านผมมาโดยตลอดจึงรู้ล่วงหน้าว่าพวกผมนัดเจออาจารย์กู้ที่โรงแรมเจ้าพระยา ถนนรัชดาในอีกสองชั่วโมงข้างหน้า

ดังนั้น อาจารย์กู้จึงถูกสันติบาลรวบตัวได้ที่ลานจอดรถของโรงแรมเจ้าพระยานั่นเอง

นายตำรวจคนนั้นกันผมออกมาจากสถานที่ที่อาจารย์กู้ถูกรวบตัว พร้อมกับพูดกับผมเบาๆว่า

"อาจารย์ครับ ผมขอโทษ"

........

นายตำรวจที่จับกุมตัวอาจารย์กู้ได้เพราะแอบดักฟังโทรศัพท์ที่บ้านผมได้โทรมาหาผมที่บ้านในตอนสายของวันที่จะมีการท้าพิสูจน์เรื่องฤทธิ์ของอาจารย์กู้ต่อหน้าสื่อต่างๆที่นครบาล

"ผมอยากให้อาจารย์สุวินัยมาเป็นสักขีพยานที่นี่ด้วย อาจารย์สุวินัยจะได้หายคาใจ และถ้าหากอาจารย์กู้แสดงฤทธิ์ได้จริง ทางเราจะดูแลเรื่องอาจารย์กู้ให้เป็นพิเศษ"

นี่เป็นที่มาของการปรากฏตัวของผมที่นครบาลในวันนั้น ผมรู้อยู่เต็มอกว่าผมจะต้องเผชิญหน้ากับสื่อเต็มๆในวันนี้ แต่ผมมิได้หวั่นไหวแต่ประการใดเลย เพราะผมรู้อยู่เต็มอกว่าอาจารย์กู้สามารถแสดงฤทธิ์ได้ ดังที่ตัวผมได้เห็นมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนในช่วงสามเดือนที่ผ่านมานี้

นี่คือไพ่สเปโตรที่ผมวางกลบเอาไว้และเป็นหมากเด็ดชิ้นสุดท้ายที่ผมจะใช้พลิกสถานการณ์กลับมาชนะพวกสื่อต่างๆที่เป็นคู่กรณีของผมในท้ายที่สุดได้

ผมจึงเดินเข้าไปที่นครบาลด้วยความเชื่อมั่นและมั่นใจในทุกฝีก้าว

อาจารย์กู้ที่ผมไม่ได้เจอหน้าหลายวันดูซูบลงไปหน่อยแต่ท่าทางสบายดี ผู้สื่อข่าวรออยู่แน่นห้องที่จะมีการท้าพิสูจน์นั้นเต็มไปหมด ผมให้นายตำรวจที่จับอาจารย์กู้ช่วยถือธูปที่ยังไม่ได้จุดสิบหกดอกให้ผม ขณะที่ผมเดินเข้าไปยืนข้างๆอาจารย์กู้

"ไหน อาจารย์กู้ช่วยเสกทองคำแท่งจากก้อนดินมาให้พวกเราดูหน่อยสิ"

นายตำรวจใหญ่ผู้เป็นเจ้าภาพจัดรายการท้าพิสูจน์ในวันนี้ กล่าวกับอาจารย์กู้ด้วยเสียงอันดังแกมเยาะเย้ยด้วยสายตาที่ไม่เชื่อถือเลยแม้แต่น้อย

"ไม่เข้าทีแล้ว "

ผมคิดในใจ เพราะผมไม่เคยเห็นอาจารย์กู้เสกก้อนดินเป็นทองคำแท่งมาก่อนเลย ผมรีบกระซิบบอกอาจารย์กู้ทันทีว่า

"อาจารย์อย่าไปรับปาก ให้บอกไปว่าจะเสกดินให้เป็นพระผงสีดำแทน"

อันนี้ผมมั่นใจสุดๆ เพราะเคยเห็นอาจารย์กู้ทำได้มาหลายครั้งแล้ว แต่คำตอบที่ออกมาจากปากของอาจารย์กู้ทำให้ผมตกตะลึง เพราะอาจารย์กู้ดันไปรับปากรับคำท้านั้น

ผมแทบไม่เชื่อหูและสายตาตนเอง อาจารย์กู้เพี้ยนไปแล้ว(หรือจริงๆก็คงเพี้ยนมาตลอด)ที่ไปรับคำท้าในสิ่งที่ไม่เคยทำได้มาก่อน

อาจารย์กู้ไม่รู้ไม่คิดเผื่อไว้หรือว่าถ้าทำไม่ได้ อะไรจะเกิดขึ้นตามมากับเราสองคนที่ยืนต่อหน้าผู้คนทั้งประเทศผ่านจอโทรทัศน์ในขณะนี้

ไม่มีทางเลือกแล้ว สิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือส่งพลังจิตหนุนช่วยการเสกของอาจารย์กู้จนถึงที่สุดนี่คือสิ่งที่ผมเคยทำมาตลอดตอนฝึกพลังจิตกับท่านอาจารย์บูรพา ผดุงไทยผู้สำเร็จกสิณไฟ

อาจารย์กู้พยามเสกของออกมา 3 ครั้งด้วยกัน และแต่ละครั้งผมรู้สึกเหมือนกันว่ามีลุ้นแต่ทุกครั้งในช่วงที่กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มจะมีเสียงโทรศัพท์มือถือจากพวกสื่อดังขึ้นมาขัดจังหวะ จนเสียสมาธิทุกครั้งเสมอ

ในที่สุดอาจารย์กู้ก็หมดแรง และยกธงขาวประกาศยอมแพ้ต่อหน้าธารกำนัลว่า

"ผมยอมแล้ว ผมทำไม่ได้"

งานท้าพิสูจน์จบลงแล้ว พวกสื่อทยอยออกจากห้องนั้นกันไปหมด ปล่อยให้ผมยืนคอตกเพียงลำพังด้วยความผิดหวัง สิ้นหวัง

แต่แล้วนายตำรวจที่จับกุมอาจารย์กู้ได้ก็เดินเข้ามาหาผม และกล่าวกับผมด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้นว่า

"อาจารย์สุวินัยครับ ดูธูป 16 ดอกที่อาจารย์สุวินัยให้ผมถือก่อนเริ่มพิธีท้าพิสูจน์นี่สิครับ ตอนนี้มันเพิ่มจำนวนเป็น 18 ดอกได้ยังไงก้ไม่ทราบ ทั้งๆที่ผมเองก็กำอยู่ในมือโดยตลอด ผมงงไปหมดแล้วครับ"

อนิจจา ทุกอย่างสายไปแล้ว
ทุกอย่างจบสิ้นแล้วสำหรับตัวผม

.......

ทุกอย่างจบสิ้นแล้ว!
สำหรับตัวผมในวัยย่าง 44 ปี แต่เป็นแค่
"วัยรุ่น" บนเส้นทางจิตวิญญาณที่ไฟแรงมากๆคนหนึ่งเท่านั้น

ผม รู้สึกถึงการล้มครืนจากภายในของตัวตน ของผมที่ไม่เคยทำอะไรไม่สำเร็จ หรือไม่เคยล้มเหลวมาก่อนในสิ่งที่ตัวเองตั้งใจมุ่งมั่นที่จะทำให้บรรลุ

ผมที่เก่งในทุกๆเรื่องที่ตนเองสนใจใคร่รู้ แต่แล้วผมก็พลาดพลั้งจนได้ และเป็นความพลาดพลั้งที่ถือว่าเป็นความอับยศสำหรับชายชาตินักรบ ท่ามกลางเสียงหัวเราเยาะเย้ย ขบขันและสายตาที่มองมาด้วยความสมเพชของผู้คนทั้งแผ่นดิน

ผมกลับไปหาเสด็จเตี่ยที่ตำหนักร่างทรงของท่านหลังจากที่ไม่ได้แวะไปหาท่านเลยในช่วงสามเดือนเศษที่ผมติดตามเรื่องอาจารย์กู้ด้วยความคับข้องใจ

ตอนนั้นผมแทบไม่ต่างจากลูกชายวัยรุ่นใจร้อนที่ไม่เข้าใจความรักความปรารถนาดีของผู้เป็นพ่อที่กำลังให้บทเรียนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดทางจิตวิญญาณแก่ลูกชายสุดที่รัก

"องค์พ่อ ทำไมทำกับผมอย่างนี้ครับ องค์พ่อช่วยให้ผมได้มาเจออาจารย์กู้ราวกับปาฏิหารย์ ผมก็นึกว่าเป็นความประสงค์ขององค์พ่อที่จะให้ผมร่วมงานกับอาจารย์กู้เพื่อสร้างสำนักปฏิบัติธรรมและกู้ชาติเสียอีก องค์พ่อก็รู้อยู่แล้วมิใช่หรือครับว่าผมต้องการกอบกู้บ้านเมืองของเราทางจิตวิญญาณ ...

การที่องค์พ่อได้ให้ร่างขององค์พ่อไปตามตัวมาพบกับองค์พ่อเมื่อหนึ่งปีก่อน สั่งสอนวิถีเทพให้แก่ผม ถ่ายทอดพลังเทวะขององค์พ่อให้แก่ผม ทำพิธีรับผมเป็นศิษย์ขององค์พ่ออย่างเป็นทางการที่ศาลขององค์พ่อที่ฐานทัพเรือสัตหีบ และสุดท้ายองค์พ่อยังได้มอบแหวนทองคำพระนารายณ์ที่องค์พ่อสวมใส่ในนิ้วมือตลอดเวลาที่องค์พ่อเสด็จลงมาประทับในร่างให้แก่ผม

นี่มิใช่หมายความว่าองค์พ่อต้องการให้ผมเป็นมือเป็นเท้าหรือเป็นเครื่องมือขององค์พ่อในการดปรดสรรพสัตว์มิใช่เหรอครับ?

ผมก็เลยนึกถึงว่า มันถึงเวลาแล้วตอนที่ได้เจออาจารย์กู้ ผมจึงกระโดเข้าไปทุ่มเทสุดตัวเพื่อรับใช้เจตนารมย์ขององค์พ่อ" ....

ผมตัดพ้อเสด็จเตี่ยเสียยืดยาว

เสด็จเตี่ยยิ้มให้ผมอย่างเอ็นดู พร้อมกับถามผมกลับไปว่า

"สุวินัย เธอจำได้มั้ยตอนที่ฉันมอบแหวนพระนารยณ์ของฉันให้แก่เธอเมื่อกลางเดือนธันวาคมปีก่อน

ฉันบอกกับเธอว่า แหวนพระนารายณ์นี้คือตัวแทนของฉัน

คนที่สวมใส่แหวนพระนารายณ์นี้คือ คนที่ต้องมาทำหน้าที่ให้ฉัน แทนฉันบนโลกมนุษย์

แต่ฉันก็บอกเธอตอนนีั้นแล้วมิใช่หรือว่า คนที่ได้ครอบครองแหวนพระนารายณ์วงนี้ของฉันไป เขาจะได้ทั้งอำนาจ บารมี ตบะ เดชะ ชื่อเสียง ทรัพย์สมบัติ และสุขภาพอันเป็นยอดปรารถนาของผู้คน

แต่ผู้นั้นจะต้องมีอันเป็นไปก่อนด้วย

เพราะเธอก็รู้มิใช่หรือ สุวินัย ว่า ฉันเป็นเทวดาที่ชอบลองใจคน "...

แม้ตอนนี้ผมจะเข้าใจได้อย่างแจ่มแจ้งแล้วว่า เหตุที่พิธีเสกวันนั้นของอาจารย์กู้ล้มเหลวเป็นเพราะเสด็จเตี่ยใช้พลังเทวะเข้าสกัดขัดขวางมิให้พลังฝ่ายมารทำงานผ่านร่างหรืออาจารย์กู้จนสามารถเสกได้สำเร็จ

เพราะความสำเร็จของอาจารย์กู้ในวันนั้นคือความพ่ายแพ้ของท่าน เพราะท่านจะต้องเสียศิษย์รักของท่านหรือตัวผมให้กับฝ่ายมารไปตลอดกาล

แต่ความล้มเหลวในการเสกของอาจารย์กู้ในวันนั้นคือชัยชนะของท่านในการปั้นผมให้กลายเป็นเครื่องมือหรือภาชนะของท่านโดยสมบูรณ์ในอีกหลายปีหลังจากเหตุการณ์นั้น

ลูกชายวัยรุ่นส่วนใหญ่มักไม่ค่อยตระหนักถึงความรักความปราถนาดีของผู้เป็นพ่อยามที่ท่านให้บทเรียนชีวิตครั้งใหญ่อันเจ็บปวดเพื่อการเติบโตครั้งใหญ่ของผู้เป็นลูกรัก

กว่าผมจะตระหนักได้ว่า เสด็จเตี่ยท่านเป็นยอดคุรุที่ส่งผมผู้เป็นศิษย์รักของท่านให้ไปลิ้มรสมาร ผจญมาร เพื่อที่จะอยู่เหนือมารได้ในที่สุดก็ต้องกินเวลาอีกหลายปีหลังจากนั้น

มีแต่ยอดคุรุเท่านั้นที่สามารถและกล้าฝึกลูกศิษย์ของท่านแบบกล้าได้กล้าเสียแบบนี้

......

*บันทึกส่งท้าย*

การได้พบกับคุรุเทพ ('เสด็จเตี่ย' กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์) ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม ปี ค.ศ. 1999 เป็น ประสบการณ์ทางวิญญาณที่ตราตรึงที่สุด และส่งผลสะเทือนอย่างลึกซึ้งที่สุดในชีวิตของผม

จะพูดให้ถูกต้องยิ่งขึ้นก็คือ ในกลางดึกคืนนั้นที่ตำหนักของท่าน เสด็จเตี่ยได้ลงมาประทับใน 'ร่าง' เพื่อสนทนากับผม เพราะผมไม่เคยรู้จักและทราบเรื่องราวของท่านในเชิงจิตวิญญาณมาก่อน

ตอนนั้นผมกำลังศึกษาวิชาพลังจิตสายฤาษีและธาตุกายสิทธิ์กับท่านอาจารย์บูรพา ผดุงไทย

ก่อนหน้านั้น ผมยังได้กราบหลวงปู่พุทธะอิสระเป็นคุรุสายพระโพธิสัตว์ของผม และได้เขียนหนังสือมังกรจักรวาลเล่ม 4 กับเล่ม 5 ที่บันทึกเรื่องราวของหลวงปู่พุทธะอิสระกับท่านอาจารย์บูรพาออกมาแล้ว

แต่ที่ผมสะท้านสะเทือนทางจิตวิญญาณอย่างถึงที่สุดคือตอนเที่ยงคืน หลังจากที่เสด็จเตี่ย ออกจากร่างทรงแล้วกลับลงมาอีกครั้ง คราวนี้เสด็จเตี่ยท่านขอให้องค์วิษณุนารายณ์ (พระนารายณ์) ลงมาประทับในร่างทรงแทนท่าน

องค์วิษณุนารายณ์ได้พูดกับผมเป็นภาษาไทยสำเนียงแขก ท่านถ่ายทอดวิชาโยคะของท่านให้ผม และบอกเล่าถึงความสัมพันธ์ทางจิตวิญญาณระหว่างท่านกับผมทุกชาติภพที่ผ่านมาให้ผมฟัง

ผมรับรู้จากเบื้องลึกสุดของวิญญาณผมว่า

ผมพบองค์พ่อของผมแล้ว ผมพบทางกลับบ้านเดิมที่แท้จริงของผมแล้ว

ผมพบแล้วว่าผมมาจากไหน ผมลงมาเกิดเพื่อทำหน้าที่อะไร

ใครคือ ปฐมคุรุที่แท้จริงของผม
ทำไมผมถึงมีอุปนิสัยใจคอเช่นนี้
ทำไมตัวผมถึงมีปณิธานแบบนี้ตั้งแต่เด็กโดยไม่มีใครมาสั่งสอนผมเลย

ทำไมผมถึงไม่ยอมรับนับถือคนผู้ใดเป็น 'นาย'ของตนเอง

ทำไมผมถึงไม่ยอมรับใช้ใครหรือสังกัดองค์กรศาสนาไหนสำนักไหน นอกจากมุ่งรับใช้พระผู้เป็นเจ้าโดยตรง และนับถือพระผู้เป็นเจ้าเป็นนายคนเดียวของตัวเอง ...

คืนนั้นคืนเดียวที่ผมได้พบกับองค์วิษณุนารายณ์ ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตและเส้นทางทางจิตวิญญาณหลังจากนั้นของผมไปตลอดกาล

เสด็จเตี่ยคืออณูหนึ่งขององค์วิษณุนารายณ์ ท่านคือคุรุเทพของผม และสั่งสอนผมทางจิตวิญญาณด้วยวิถีของบรมครูที่เข้มงวดเกินจินตนาการของผู้คน

หลังจากที่ท่านให้ผมเข้าพิธีเป็นศิษย์ของท่านอย่างเป็นทางการที่ศาลของท่านที่ฐานทัพเรือสัตหีบในเดือนตุลาคม ปี ค.ศ. 1999

ท่านก็อยู่เบื้องหลังในการทำให้ชีวิตของผมตกลงไปสู่ก้นเหวแห่งความสิ้นหวังดุจ 'ตายทั้งเป็น' จากเหตุการณ์อาจารย์กู้และเปรตคำชะโนด ในช่วงระหว่างเดือนมีนาคม-เดือนพฤษภาคม ปี ค.ศ. 2000

ทำให้ผมสูญเสียทุกอย่างที่ตัวเองสร้างมาทั้งชีวิตโดยเฉพาะชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือทางสังคม ด้วยการทำให้ผมกลายเป็น 'ตัวตลก' ผู้งมงายเป็นที่หัวเราะเย้ยหยันของผู้คน

การเป็น'คนดี' ของผม มีความหมายเท่ากับคนโง่เท่านั้น

การทำลายตัวตนของผมอย่างย่อยยับ ทำให้ตายก่อนตายจากตัวตนเก่า คือบทเรียนทางจิตวิญญาณบทแรกๆที่เสด็จเตี่ยมอบให้แก่ตัวผม

หน้าที่ของผมหลังจากนั้น คือผมต้องพิสูจน์ตัวเอง ด้วยการไต่ขึ้นมาจากหุบเหวแห่งความสิ้นหวังตามลำพังด้วยกำลังของตนเอง

ผมใช้เวลาสามปีเต็มค่อยๆสร้างตัวตนใหม่ของผมขึ้นมาที่เป็น 'ตัวตนบูรณาการ' (integral self) และนักกลยุทธ์ ...

บาดแผลทางจิตวิญญาณแบบเหล็งฮู้ชงของผมในปี ค.ศ. 2000 คือเหรียญกล้าหาญจากสนามรบของผม

.......

ผ่านไปหลายปี ... ผมได้กลับไปเยือนเสด็จเตี่ยอีกครั้งเหมือนถูกเรียกตัวไปพบ

ทุกครั้งที่ผมไปหาท่าน เสด็จเตี่ยจะชี้แนะทางจิตให้ผมเสมอ ตามวาระและขั้นตอนทางจิตที่ผมกำลังเดินอยู่ในช่วงนั้น
ยกตัวอย่างเช่น

(1) "สุวินัย มวยมังกรที่เธอหัด ไม่ทำให้เธอสำเร็จทางจิตได้หรอกนะ"

หลังจากนั้นผมต้องใช้เวลาหลายปีทีเดียว กว่าจะสลายวิชามวยมังกรของตัวเองที่ผมฝึกมาค่อนชีวิต จนเหลือแค่ลมปราณกรรมฐานและการเจริญสติเท่านั้น

(2) ครั้งหนึ่งท่านกดดันผม ด้วยการอยู่ดีๆก็ตบหน้าผมอย่างแรงไม่ให้ตั้งตัว ตอนนั้นผมนั่งคุกเข่าในท่านักรบแบบญี่ปุ่น หลังจากที่ท่านตบหน้าผมแล้ว ท่านก็สอบอารมณ์ผมทันทีว่า

"สุวินัย เธอยังมีอารมณ์ขุ่นมัวอยู่นิดหนึ่งนะ"

"ไม่มีจริงๆครับ"

ผมแย้งท่าน เพราะจิตของผมมิได้กระเพื่อมหรือหวั่นไหวสักนิดในความรู้สึกของผม

"ยังมีอยู่หน่อยนึง"

ท่านยังยืนกราน

ผมกลับไปทบทวนประสบการณ์ครั้งนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุดผมก็เข้าใจว่า ความรู้สึกหน่วงในใจที่ผมมีตอนนั้น แม้ไม่ใช่ความโกรธ ท่านก็ยังจับความละเอียดนั้นได้

นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ผมสามารถเข้าถึงภาวะจิตเบาที่ละเอียดกว่าเดิมได้ และตระหนักถึงความละเอียดถี่ถ้วนที่เสด็จเตี่ยเรียกร้องจากตัวผมในการฝึกจิต ...

ในฐานะที่เป็นครูทางจิต เสด็จเตี่ยท่านเป็นครูประเภท Perfectionist ตัวจริงที่ไม่ยอมผ่อนปรนใดๆทั้งสิ้น

เสด็จเตี่ยเป็นคุรุเทพที่ชอบลองใจคน
ท่านชอบทดสอบความภักดีของศิษย์ที่มีต่อตัวท่านเสมอ

บางครั้งการเรียกร้องของท่านอาจยิ่งกว่าการเรียกร้องของหญิงสาวคนรักที่มีต่อชายหนุ่มผู้เป็นคู่รักของเธอในช่วงเพิ่งรักกันใหม่ๆเสียอีก

(3) " สุวินัย ต่อไปเธอจะได้แก้วบารมีหรือมณีที่มีอานุภาพมาก ... แต่สุดท้ายเธอก็ต้องปล่อยวางแก้วบารมีเหล่านั้น และ ทำจิตของเธอให้เป็นมณีอันศักดิ์สิทธิ์ แทน"

คำทำนายของเสด็จเตี่ยแม่นยำราวกับตาเห็นเสมอ เพียงแต่ในชีวิตจริงกระบวนการนั้นมันยาวหลายปีกว่าจะเป็นไปตามนั้นทุกประการ

(4) ล่าสุด หลังจากที่เสด็จเตี่ยได้ทำนายหายนะโลกในปี ค.ศ. 2020 โดยบอกผมล่วงหน้าถึงสี่ปีเต็ม

ท่านก็ให้ "บทเรียนสุดท้ายทางจิตวิญญาณ" แก่ผมในช่วงต้นเดือนมีนาคม ปี 2020 ที่ผ่านมา

"สุวินัย ฉันจะไม่ทำนายอะไรให้เธออีกแล้ว และจะไม่ช่วยอะไรเธออีกแล้ว ต่อไปเธอต้องช่วยตนเองและยืนด้วยลำแข้งของเธอเองทางจิตวิญญาณแล้วนะ"

นี่เป็นคำสอนสุดท้ายทางจิตวิญญาณของเสด็จเตี่ยที่ล้ำค่ายิ่งสำหรับผม

หลังจากนี้ ผมต้องเดินรุดหน้าต่อไปบนเส้นทางจิตวิญญาณของผมเองตามลำพัง

ผมต้องเป็นครูของตัวเองและสอนตัวเองไปจนสุดทางสายนี้ให้จงได้

ผมซาบซึ้งและสำนึกในบุญคุณของเสด็จเตี่ยที่มีต่อผมในชาตินี้ ...

บุญคุณทางจิตวิญญาณที่ตัวผมไม่มีวันชดใช้ได้หมดสิ้น

ผมได้ตั้งจิตอธิษฐานขอยกบุญบารมีที่ตัวผมได้บำเพ็ญมาทั้งชีวิตในชาตินี้ให้แก่คุรุเทพของผมโดยไม่เสียดายเลยแม้แต่น้อย

ความเติบใหญ่และวุฒิภาวะทางจิตวิญญาณของผมในตอนนี้ ขอเพียงสามารถทำให้โลกประจักษ์ได้ว่าสิ่งที่คุรุเทพของผมได้ลงแรงฝึกปรือขัดเกลาเคี่ยวกรำตัวผมในช่วงยี่สิบปีมานี้ไม่เป็นความสูญเปล่า ... ผมก็พอใจแล้ว

หลังจากนี้ การเป็นมือเป็นเท้าให้แก่องค์วิษณุนารายณ์เป็นความปรารถนาเดียว ในชีวิตที่เหลืออยู่ของตัวผมเท่านั้น

สุวินัย ภรณวลัย

ขอบคุณเนื้อหา และสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่: https://www.facebook.com/photo/?fbid=4917995488237553&set=a.380997495270731
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
มารคัส's profile


โพสท์โดย: มารคัส
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
OK ล็อตเตอรี่ รวมเลขดังไว้ที่นี่ 1 เมษายน 2567จดไว้เลย!! 2ตัวล่าง 78ให้มาตรงๆ 1 เมษายน 256710 เคล็ดลับในการฮีลใจตัวเอง สามารถทำได้อย่างไรบ้าง มาดูกันจ้าสารก่อมะเร็ง 4 อย่าง ที่ลูกคุณอาจจะได้รับทุกวัน
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
"ซีอิ๊วแบบเม็ด" ฉีกทุกกฎของซอส..นวัตกรรมใหม่จาก "เด็กสมบูรณ์""บิ๊กเต่า" รับหลักฐาน "ทนายตั้ม" ลั่น ใหญ่แค่ไหนก็จับ ไม่มีใครใหญ่กว่าประตูห้องขัง9 โรงเรียนหญิงล้วนที่น่าสนใจในประเทศไทยหลวงพี่เขมรแนะชาวเขมร ว่า..“ไทยเอาคำว่า‘สงกรานต์‘ไปแล้ว งั้นเขมรเราใช้คำว่า ’มหาอังกอร์สงกรานต์‘ ดีไหม? เพราะคำนี้มันใหญ่กว่าสงกรานต์ธรรมดา”
กระทู้อื่นๆในบอร์ด ข่าววันนี้
หนุ่มพ่นน้ำลายนาน 5 นาที กลายเป็นสถิติโลก!!เกิดเหตุทะเลาะวิวาททั่วสนามบินรัวซีรัสเซียส่งเรือรบไปทะเลแดงแล้วปูตินยัน "รัสเซียพร้อมสอย เครื่องบินรบนาโต"
ตั้งกระทู้ใหม่