ประเมินสงครามยูเครน โดย สิริอัญญา วันพุธที่ 30 มีนาคม 2565
ประเมินสงครามยูเครน
โดย สิริอัญญา
วันพุธที่ 30 มีนาคม 2565
การประเมินชัยชนะและปราชัยในสงครามทั้งปวงไม่ขึ้นอยู่กับบรรดากองเชียร์หรือเสียงเชียร์ของสื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสื่อระดับยักษ์ระดับโลกขนาดไหน แต่ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของสงคราม และความสามารถในการบรรลุวัตถุประสงค์ของการทำสงครามนั้นหรือไม่
ถ้าทำสงครามแล้วไม่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ของการทำสงครามก็คือความพ่ายแพ้ และถ้าสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ของสงครามก็ย่อมหมายถึงชัยชนะ
เป็นธรรมดาของสงครามที่ต้องมีความสูญเสียทั้งกำลังพล งบประมาณ อาวุธยุทโธปกรณ์ และสภาพบ้านเมือง ซึ่งทั้งสองฝ่ายย่อมต้องสูญเสียด้วยกัน จะแตกต่างกันตรงที่สูญเสียมากหรือสูญเสียน้อย และจะได้รับผลจากสงครามมากหรือน้อย
สงครามยูเครนผ่านมาหนึ่งเดือนแล้ว แม้ว่าสงครามยังไม่สิ้นสุดแต่ก็สามารถประเมินสงครามได้ในเบื้องต้นว่าวัตถุประสงค์ของสงครามและการบรรลุวัตถุประสงค์ของสงครามนั้นเป็นอย่างไร มีการได้เสียกันอย่างไร ซึ่งถ้าประเมินสงครามโดยถูกต้องก็จะเป็นทางแห่งความเข้าใจสงคราม และการคาดหมายถึงการสิ้นสุดของสงครามนั้นด้วย
สถานการณ์ล่าสุดตัวตลกแห่งยูเครนโวยวายเรียกร้องต้องการขอเจรจากับรัสเซีย โดยตั้งข้อเรียกร้องประหนึ่งว่าเป็นฝ่ายชนะสงคราม ในขณะที่ประธานาธิบดีปูตินประกาศว่าสถานการณ์ในขณะนี้ไม่เหมาะสมที่จะมีการเจรจาระหว่างกัน ซึ่งหมายถึงสงครามจะต้องดำเนินต่อไปจนกว่าจะบรรลุเป้าหมายที่สุดแห่งสงคราม
ก่อนจะเกิดสงคราม รัสเซียได้เรียกร้องสองประการ คือยูเครนต้องไม่เข้าเป็นสมาชิกนาโต้ และประเทศนาโต้จะต้องถอนขีปนาวุธร้ายแรงทั้งหลายที่นำมาติดตั้งไว้ในยูเครนเพราะเป็นการคุกคามความมั่นคงของรัสเซีย ซึ่งรัสเซียได้เรียกร้องดังกล่าวมานานนับสิบปีแล้วแต่ไม่ได้ผล ทั้งยูเครนและนาโต้ยังคงเดินหน้าท่าทีดังกล่าว โดยเฉพาะการติดตั้งขีปนาวุธร้ายแรงที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง
และอันตรายจากการเพิ่มขึ้นของขีปนาวุธร้ายแรงเหล่านั้นคุกคามความมั่นคงของรัสเซียมากขึ้นทุกที ดังนั้นรัสเซียจึงตัดสินใจทำสงครามเข้ายึดยูเครน ดังนั้นในการประเมินสงครามจึงต้องประเมินจากวัตถุประสงค์แห่งสงครามทั้งสองประการดังกล่าวว่ารัสเซียสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ของสงคราม หรือว่ายูเครนสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ของสงคราม
สถานการณ์สงครามในขณะนี้มีความชัดเจนและแน่นอนแล้วว่ารัสเซียสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ของสงครามทั้งสองประการนี้ตั้งแต่ช่วงระยะเวลา 12 วันแรกของการทำสงคราม
วัตถุประสงค์ของสงครามข้อแรกคือ ยูเครนต้องไม่เข้าเป็นสมาชิกของนาโต้นั้น ยูเครนและนาโต้ได้ยอมรับตรงกันแล้วว่ายูเครนจะไม่เข้าเป็นสมาชิกของนาโต้อีกแล้ว
วัตถุประสงค์ของสงครามข้อที่สองคือ นาโต้ต้องถอนขีปนาวุธทั้งหลายที่นำเข้าไปติดตั้งไว้ในยูเครนโดยทันที ซึ่ง ณ บัดนี้เวลาผ่านไปหนึ่งเดือน ทั้งฝ่ายนาโต้และรัสเซียไม่พูดถึงเรื่องขีปนาวุธดังกล่าวเลย ความจริงเรื่องนี้เป็นอย่างไรและหมายความว่าอย่างไร?
ความจริงก็คือในระยะ 12 วันแรกของสงคราม รัสเซียได้ล้อมและเข้ายึดขีปนาวุธทั้งหมดที่นาโต้ได้นำไปติดตั้งไว้ในยูเครนเรียบร้อยแล้ว โดยมิได้ใช้ขีปนาวุธถล่มเพราะอาจเกิดแรงระเบิดร้ายแรงที่ทำลายทั้งยูเครนและประเทศข้างเคียงด้วย ดังนั้นจึงใช้กำลังทหารเข้าล้อมกระชับพื้นที่และดำเนินการทางทหาร จนกระทั่งเข้ายึดขีปนาวุธทั้งหมดได้เรียบร้อย
นาโต้ไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้เพราะกลัวเสียหน้า ยูเครนก็ไม่กล้าเอ่ยถึงเรื่องนี้เพราะเท่ากับเป็นการยอมรับความพ่ายแพ้ แต่รัสเซียก็ไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้เช่นเดียวกัน แต่มีการขนย้ายขีปนาวุธทั้งหมดออกจากที่ติดตั้งเดิม นำไปติดตั้งในสถานที่ใหม่ทั้งในรัสเซีย เบลารุส และรัฐใหม่ในพื้นที่ดอนบาส และด้วยขีดความสามารถทางเทคโนโลยีด้านอาวุธคาดว่าขีปนาวุธเหล่านี้นอกจากรัสเซียจะสามารถถอดความลับทั้งหลายได้ครบถ้วนแล้ว ยังอาจสามารถใช้ปฏิบัติการทางทหารได้อีกด้วย
นั่นคือรัสเซียสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ของสงครามข้อที่สองได้แล้ว จึงสรุปได้ว่ารัสเซียบรรลุวัตถุประสงค์ของสงครามทั้งสองประการได้ตั้งแต่วันที่ 12 ของการทำสงคราม และด้วยหลักการประเมินสงครามก็ต้องถือว่ารัสเซียได้รับชัยชนะในสงครามครั้งนี้อย่างสมบูรณ์แล้ว
แต่ทำไมสงครามจึงยังไม่สิ้นสุดลง? โดยรัสเซียประกาศไม่เจรจากับยูเครน ยังคงปฏิบัติการพิเศษทางการทหารต่อไป และรัสเซียได้อะไรขึ้นมาบ้าง?
ประการแรก รัสเซียสามารถแยกดินแดนของยูเครนในพื้นที่ดอนบาสและข้างเคียง โดยสนับสนุนให้ประชาชนเผ่าสลาฟในพื้นที่ประกาศจัดตั้งเป็นรัฐอิสระขึ้นสามรัฐ และรัสเซียก็ได้ให้การสนับสนุนในการกระชับความมั่นคง การสถาปนาการบริหาร และการใช้ทรัพยากรซึ่งเป็นแหล่งทรัพยากรสำคัญของยูเครน โดยเฉพาะด้านอาหารและทรัพยากรธรรมชาตินับเป็นมูลค่าหาที่สุดมิได้
พื้นที่รัฐอิสระทั้งสามนี้เชื่อมต่อกับแคว้นไครเมีย ซึ่งรัสเซียได้ผนวกเป็นดินแดนของรัสเซียมาหลายปีแล้วและเป็นแหล่งทรัพยากรล้ำค่าด้วย ทำให้รัสเซียได้มาซึ่งภูมิยุทธศาสตร์ที่สำคัญคือทางเศรษฐกิจและทางความมั่นคง โดยเฉพาะรัสเซียสามารถปิดและควบคุมทะเลดำที่ติดต่อกับยูเครนได้ทั้งหมด
ประการที่สอง รัสเซียสามารถเข้ายึดเตาปฏิกรณ์ไฟฟ้านิวเคลียร์ได้ถึง13 แห่ง โดยวิธีเข้าล้อมและยึดเอาโดยสันติ ซึ่งต้องใช้ความอดทน ความเยือกเย็น เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายแก่เตาปฏิกรณ์ไฟฟ้านิวเคลียร์เหล่านั้น ทำให้รัสเซียสามารถควบคุมไฟฟ้าได้ทั่วทั้งยูเครนโดยสมบูรณ์ คิดเป็นมูลค่ามหาศาล และกุมชะตาเป็นตายของยูเครนไว้ในมือ
ประการที่สาม รัสเซียสามารถเข้ายึดห้องแล็บทดลองอาวุธเคมีและอาวุธชีวภาพซึ่งมีอยู่ 33 แห่ง โดยวิธีการปิดล้อมและเข้ายึดโดยสันติ มีแห่งเดียวเท่านั้นที่ไม่ยอมวางอาวุธ จึงถูกรัสเซียยิงถล่มด้วยขีปนาวุธร้ายแรงความร้อนสูงเพื่อทำลายอาวุธเคมีและอาวุธชีวภาพในห้องแล็บเหล่านั้นให้เป็นเถ้าถ่านไป ทำให้รัสเซียสามารถนำไปใช้ประโยชน์สองประการ คือใช้ประจานสหรัฐและยูเครนต่อเวทีการเมืองระหว่างประเทศจนรับมือกันไม่หวาดไหว และนำไปใช้เพื่อการศึกษาและรับมือกับปฏิบัติการแบบนี้ซึ่งยังมีทดลองอยู่ในอีกหลายประเทศ
ประการที่สี่ รัสเซียสามารถวางกำลังทหารไว้ที่พื้นที่ชายแดนยูเครนกับโปแลนด์ได้อย่างแน่นหนา สามารถวางเครือข่ายด้านข่าวกรองแน่นหนายิ่งขึ้นทั่วทั้งพื้นที่ครอบคลุมไปถึงยุโรปทั้งหมด จนสามารถจับความเคลื่อนไหวและข่าวกรองได้อย่างละเอียดถี่ถ้วน และกุมสภาพฐานะเป็นฝ่ายกระทำต่อกลุ่มนาโต้
การสามารถวางกำลังทหาร ณ พื้นที่นั้น ถ้าเปรียบกับหมากรุกก็เสมือนวางม้าในตำแหน่งรุกฆาตคือพร้อมจะรุกเข้าสู่ยูเครน หรือตั้งรับการส่งกำลังบำรุงและอาวุธยุทโธปกรณ์เข้ามาในยูเครน ซึ่งจะทำให้การดูแลรักษาความมั่นคงปลอดภัยของพื้นที่ยึดครองทั้งหมดมีความมั่นคงและปลอดภัยในระดับสูง ที่สำคัญก่อให้เกิดแรงกดดันต่อประเทศนาโต้ทั้งหลายให้ได้สัมผัสกับกลิ่นไอของสงคราม จะได้มีสติยั้งคิดในการที่ข่มขู่คุกคามชาติอื่นดังที่ผ่านมา
ประการที่ห้า รัสเซียได้ปิดล้อมและยึดครองยูเครนตะวันออกโดยพื้นฐานแล้ว คงเหลือการกวาดล้างกำลังต่อต้าน ซึ่งมีอยู่ทั้งสิ้นประมาณ 70,000 คน โดยไม่ประสงค์ที่จะทำสงครามทำลายล้างในพื้นที่เพราะจะเป็นการเสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการปฏิสังขรณ์ต่อไป นั่นคือเมื่อจัดการปกครองยูเครนตะวันออกเรียบร้อยแล้วก็สามารถจัดการบ้านเมืองและประชาชนให้เข้าที่เข้าทางได้โดยเร็ว
เหตุที่สงครามยังไม่สิ้นสุดมีสองประการคือ การกระชับความมั่นคงปลอดภัยในพื้นที่ยูเครนตะวันออกและพื้นที่ดอนบาส จากที่มีการจัดวางกำลังของยูเครนเดิมไว้หลายสิบปี เพื่อให้มีความปลอดภัยขั้นสูงสุด
และอีกประการหนึ่งคือการจัดการกับยูเครนตะวันตกให้พินาศวายวอดไป โดยเฉพาะโครงสร้างทางการทหารและเศรษฐกิจ ซึ่งจะเป็นภาระแก่รัฐบาลยูเครนตะวันตกในการต้องปฏิสังขรณ์ จนไม่มีเวลามาวุ่นวายกับยูเครนตะวันออก
ดังนั้นการประเมินสงครามครั้งแรกสำหรับระยะเวลาหนึ่งเดือนนี้จึงสรุปได้ว่านอกจากรัสเซียชนะสงครามอย่างสมบูรณ์แล้ว ยังได้ของแถมมากมายเกินคาดคิด และมูลค่าทรัพย์สินที่ได้มามากกว่าค่าใช้จ่ายที่เสียไปในการสงครามครั้งนี้นับร้อยเท่า.















