นาโต้ 2 ขยับ โดย สิริอัญญา วันอังคารที่ 29 มีนาคม 2565
นาโต้ 2 ขยับ
โดย สิริอัญญา
วันอังคารที่ 29 มีนาคม 2565
เมื่อสัปดาห์ก่อนทูตพิเศษของญี่ปุ่นได้เดินทางไปประชุมกับผู้นำกลุ่มชาติพันธุ์ของพม่าหลายกลุ่ม หลายพวก หลายเผ่า โดยนัดมาประชุมกันที่เชียงใหม่ หลังจากนั้นสหรัฐก็ได้ประกาศว่ารัฐบาลพม่าประกอบอาชญากรรมฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ชาวโรฮิงญาที่รัฐยะไข่จะต้องถูกลงโทษ
หมายถึงการถูกคว่ำบาตร แต่จะเป็นการคว่ำบาตรแบบไหน ระดับไหน จะต้องคอยติดตามดูกันต่อไป และเมื่อถือว่าเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์แล้ว ก็จะอ้างเป็นเหตุที่จะส่ง “ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรม” เข้าไปในพม่าได้
“ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรม” ดังกล่าวนี้เป็นคำพูดดูหรูหราและเต็มไปด้วยความเป็นมนุษย์ แต่ความเป็นจริงนั้นในทุกแห่งที่มีการช่วยเหลือทางมนุษยธรรมก็คือการส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ไปให้ฝ่ายหนึ่งเพื่อทำสงครามประหัตประหารกับอีกฝ่ายหนึ่ง โดยถือว่าการช่วยฝ่ายนั้นเป็นการช่วยเหลือทางมนุษยธรรม เพราะอีกฝ่ายหนึ่งถูกกล่าวหาแล้วว่าเป็นอาชญากรรมฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
การที่ทูตพิเศษญี่ปุ่นเข้ามาปฏิบัติการเช่นนี้ในดินแดนของประเทศไทยในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ถูกตั้งข้อสังเกตจากคนไทยทั่วประเทศว่าเป็นพื้นที่หลักในการก้าวก่ายแทรกแซงทางการทหารต่อจีน รัสเซีย อิหร่าน และพม่า ย่อมเป็นที่จับตามองของรัสเซีย จีน อิหร่านและพม่า เพราะเป็นเรื่องที่กระทบต่อความมั่นคง ซึ่งกำลังมีปัญหาใหญ่โตกันอยู่ในขณะนี้
นั่นคือปัญหาการต่อสู้กันในเรื่องยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก ของสหรัฐ ซึ่งจีนได้ประกาศอย่างชัดเจนต่อชาวโลกแล้วว่าเป็นภัยคุกคามความมั่นคงของจีน ที่จีนจะทำการคัดค้านต่อต้านทุกวิถีทาง ในขณะที่ประเทศไทยกำลังเป็นข่าวอื้อฉาวในเรื่องการเข้าร่วมเป็นนาโต้ 2 ในการต่อต้านหรือทำสงครามกับจีนและพันธมิตร
ดังนั้นการที่ทูตพิเศษญี่ปุ่นเข้ามาปฏิบัติการในประเทศไทยในเรื่องนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับความมั่นคงโดยตรง คือเป็นท่าทีที่จะให้การสนับสนุนต่อกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งบางกลุ่มกำลังทำสงครามกลางเมืองอยู่กับรัฐบาลพม่า และแน่นอนว่าถ้าจะมีความช่วยเหลือให้แก่กัน ความช่วยเหลือนั้นก็จะต้องผ่านจากดินแดนของประเทศไทย ซึ่งนี่แหละที่เขาเรียกว่าชักศึกเข้าบ้าน
และแยกไม่ออกจากข้อกังขาเรื่องพันธมิตรนาโต้ 2 ในการต่อต้านจีน รัสเซีย อิหร่าน และพม่า รวมทั้งเกาหลีเหนือด้วย
การกระทำเช่นนี้ในดินแดนของประเทศไทยจึงเป็นการใช้ดินแดนของประเทศไทยในการบ่อนทำลายความมั่นคงของพม่าโดยตรง ซึ่งเป็นเรื่องที่กระทรวงการต่างประเทศจะต้องป้องกันแก้ไขไม่ให้เกิดขึ้น แต่ปรากฏว่าไม่มีเสียงปริปากใด ๆ จากกระทรวงการต่างประเทศ
ยิ่งถ้ามีการส่งอาวุธยุทโธปกรณ์เข้าไปช่วยเหลือกลุ่มชาติพันธุ์ทำสงครามกับรัฐบาลพม่าภายใต้ข้ออ้างส่งความช่วยเหลือทางมนุษยธรรม ก็จะทำให้ประเทศไทยเข้าสู่ความขัดแย้งของสงครามกลางเมืองในพม่า และในที่สุดก็จะกลายเป็นคู่สงคราม ซึ่งชาติต่าง ๆ ก็จะร่วมด้วยช่วยกันผสมโรง และในที่สุดประเทศไทยเราก็จะกลายเป็นสนามรบในที่สุด
ซึ่งต้องเข้าใจสภาพที่เป็นไปในพม่าเสียก่อนว่าพม่านั้นเป็นชาตินักรบมาแต่โบราณ กองทัพพม่ามีความเข้มแข็งเกรียงไกรไม่แพ้ชาติใดในอาเซียน มีกำลังทหารประจำการถึง 400,000 คน มีอาวุธยุทโธปกรณ์ที่พรั่งพร้อม เพราะร่วมมือทางการทหารกับรัสเซีย จีน มานานแล้ว
หลังจากมีการประกาศยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก ซึ่งแน่นอนว่าเป้าหมายสำคัญที่สุดคือประเทศจีน และพม่าก็เป็นภูมิยุทธศาสตร์สำคัญที่ถ้าหากองทัพต่างชาติเข้ายึดดินแดนพม่าแล้วก็จะคุกคามต่อยูนนาน ฉงชิ่ง เสฉวน ลามไปถึงซินเกียงและทิเบต ซึ่งเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อจีน
ดังนั้นเพื่อป้องกันระวังตน จีนจึงได้เคลื่อนย้ายกำลังทหารถึง 500,000 คน ไปวางไว้ที่มองโกเลียใน พร้อมที่จะเคลื่อนพลเข้าช่วยพม่าได้ในเวลาที่รวดเร็ว และเมื่อพม่าร้องขอให้จีนมาช่วยดูแลความปลอดภัยในช่วงเกิดสงครามกลางเมืองที่มีกองกำลังอาสาสมัครต่างชาติเข้าไปก่อวินาศกรรมเสาไฟฟ้าและเสาสัญญาณต่าง ๆ จำนวนมากในพม่า และขู่ว่าจะระเบิดท่อแก๊สของจีนจากรัฐยะไข่ถึงยูนนาน จีนก็ได้ส่งกำลังทหาร 100,000 คน เข้ามาช่วยพม่าในการคุ้มครองดูแลท่อแก๊สของจีนดังกล่าว
รัฐบาลพม่าทราบดีว่าฝ่ายกบฏนั้นได้รับการสนับสนุนจากประเทศนักล่าอาณานิคม และต้องการเปลี่ยนพม่าให้เป็นอาณานิคมเช่นเดียวกับยุคก่อนโดยตั้งรัฐบาลหุ่นขึ้นปกครอง ดังนั้นโดยการสนับสนุนของพันธมิตร พม่าจึงทำการปราบปรามฝ่ายกบฏอย่างเฉียบขาด จึงทำให้สถานการณ์ในพม่าโดยทั่วไปกลับสู่ความเป็นปกติ
คงเหลือพื้นที่รอยต่อระหว่างพื้นที่ของกลุ่มชาติพันธุ์กับแคว้นอื่น ๆ ของพม่า ซึ่งกลุ่มชาติพันธุ์เหล่านี้จะมีพื้นที่ติดชายแดนประเทศไทย ตั้งแต่กาญจนบุรีขึ้นไปจนถึงแม่สอด เชียงราย
ประเทศไทยเห็นสภาพดังกล่าวเป็นอย่างดี จึงพยายามปัดเป่าไฟสงครามไม่ให้ลามเข้าประเทศไทย และได้ทำการประสานงานกับทุกฝ่ายอย่างใกล้ชิด ทำให้การสู้รบไม่เข้ามาใกล้ชายแดนไทยในระยะ 20 กิโลเมตร ทำให้พ้นจากความเสี่ยงการสร้างสถานการณ์ที่จะลากไทยเข้าสู่สงคราม
ดังนั้นการมาของทูตพิเศษญี่ปุ่นที่ประชุมร่วมกับกลุ่มชาติพันธุ์หลายกลุ่มที่เชียงใหม่ และติดตามมาด้วยข้อหารัฐบาลพม่าว่าฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ จึงเป็นที่หวั่นวิตกว่าจะเป็นจุดชนวนสงครามครั้งใหญ่ระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์กับรัฐบาลพม่า โดยแอบใช้ชายแดนไทยเป็นแนวหลังในการส่งกำลังอาวุธและกำลังบำรุงต่างๆ และนั่นก็คือความเสี่ยงที่จะลากประเทศไทยเข้าสู่สงครามกับพม่า
นี่คือการขับเคลื่อนของยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก อย่างหนึ่งที่กำลังยกระดับไปสู่ความรุนแรงและสงคราม และสักวันหนึ่งอาจทำให้ประเทศไทยกลายเป็นยูเครน 2 เพราะเมื่อใดก็ตามที่เกิดสงครามระหว่างรัฐบาลพม่ากับกลุ่มชาติพันธุ์ที่ชายแดนไทยก็มีความเสี่ยงที่จะเกิดการปะทะกันระหว่างพม่ากับไทย และจากนั้นนักล่าอาณานิคมก็จะอาศัยเหตุส่งทหารเข้ามาช่วยประเทศไทยรบกับพม่า และเมื่อนั้นจีน อิหร่าน รัสเซีย ก็จะหนุนช่วยพม่ารบกับกองกำลังต่างชาติจากประเทศไทย
ประเทศไทยเราก็จะกลายเป็นสนามรบ นี่คือพิษสงของนาโต้ 2 ที่ส่อเค้าให้เห็นแล้ว!