ไทยต้องรีบเปิดประเทศก่อนล่มจม! โดย สิริอัญญา วันพุธที่ 23 มีนาคม 2565
ไทยต้องรีบเปิดประเทศก่อนล่มจม!
โดย สิริอัญญา
วันพุธที่ 23 มีนาคม 2565
ประเทศไทยจมปลักอยู่ในวิกฤตโคบ้ามาสองปีเศษแล้ว ก่อความเสียหายยับเยินแก่ทุกภาคส่วน จนถึงบัดนี้ประเทศต่าง ๆ เขาพากันเปิดประเทศกันไปหมดแล้ว แต่ประเทศไทยยังคงขยายเวลาประกาศฉุกเฉินและยังยื้อยุดการเปิดประเทศไปถึงเดือนกรกฎาคม 2565
ประเทศไทยได้รับความเสียหายชนิดที่เรียกว่าวินาศสันตะโรและไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ของชาติ จนไม่รู้ว่าจะแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างไร และต้องใช้เวลาอีกสักกี่สิบปี
สถานการณ์ ณ วันนี้ประเทศไทยมีหนี้สาธารณะถึง 10 ล้านล้านบาท มีหนี้สินครัวเรือนถึง 14.5 ล้านล้านบาท และคนยากจนเพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 20 ล้านคน ในขณะที่ดัชนีการคอร์รัปชั่นถูกจัดให้อยู่ในระดับแนวหน้าสุดของโลกไปแล้ว
ในกรณีต้มยำกุ้ง ประเทศไทยได้รับความเสียหาย 1.4 ล้านล้านบาท และต้องเข้า IMF ก่อให้เกิดความพินาศวายวอดแก่ทุกภาคส่วนต่อเนื่องมาถึง 10 ปี และบัดนี้เวลาล่วงเลยมา 20 ปีเต็มแล้ว หนี้สินจากความเสียหาย 1.4 ล้านล้านบาทนั้นได้รับการชำระเงินต้นเพียง 200,000 ล้านบาท ยังมีหนี้ที่จะต้องจ่ายต่อไปอีกไม่รู้กี่สิบปีอีก 100,000 ล้านบาท
แค่ดูอัตราการชำระหนี้จากกรณีต้มยำกุ้งก็จะใจหาย เพราะหนี้สาธารณะ 10 ล้านล้านบาท หนี้ครัวเรือน 14.5 ล้านล้านบาท ในขณะที่มีคนไทยยากจนถึง 20 ล้านคน ก็ไม่รู้ว่าจะใช้เวลาสักกี่ปีกี่ชาติ นี่เป็นภารกิจอันใหญ่หลวงที่ใครมาเป็นรัฐบาลใหม่ก็ต้องล้างขี้ล้างเยี่ยวที่สร้างกันไว้ในยุคนี้
ในช่วงสองปีมานี้รัฐบาลต้องก่อหนี้หลายล้านล้านบาทเพื่อมาจับจ่ายใช้สอยในกรณีไวรัสโคบ้า ในขณะที่ใช้จ่ายเงินไป ข่าวคราวการทุจริตคอร์รัปชั่นก็กึกก้องกระหึ่มไปทั้งประเทศ โดยเฉพาะคือเงินที่เอาไปจับจ่ายนั้นไม่ก่อให้เกิดรายได้แก่ประชาชนหรือแก่ประเทศชาติ
เป็นการกู้เอาไปแจกและลวงล่อให้ประชาชนนำเงินที่เก็บหอมรอมริบไว้มาผสมใช้ จึงพากันสิ้นเนื้อประดาตัวและเพิ่มหนี้เพิ่มสินให้แก่ประชาชน บรรดาโครงการทั้งหลายที่เรียกว่าคนละครึ่งนั่นแหละคือระบบความคิดที่ก่อกรรมทำเข็ญให้แก่ประเทศชาติและประชาชน
ที่ด้านหนึ่งรัฐต้องกู้ยืมเงินมาใช้ อีกด้านหนึ่งประชาชนต้องนำเอาเงินที่เก็บหอมรอมริบมาสมทบใช้ และผลจากการใช้นั้นเงินก็มิได้ไหลเวียนไปสู่ประชาชนหรือภาคธุรกิจทั่วไป แต่ไปกระจุกตัวอยู่ที่นายทุนชาติไม่กี่ราย จึงก่อเกิดความฉิบหายถ้วนหน้า
นับแต่ประเทศไทยมีโคบ้าระบาดมาจนถึงวันนี้ บรรดามาตรการทั้งหลายได้ส่งผลชัดเจนแล้วว่าผิดพลาดล้มเหลวและก่อเกิดหายนะแก่ประเทศชาติและประชาชน
ประเทศไทยมีประชากรแค่ 66 ล้านคน แต่มีคนป่วยกว่า 2 ล้านคน ในขณะที่ประเทศจีนมีประชากร 1,400 ล้านคน แต่มีคนป่วยระดับแสนคน ข้อเท็จจริงกระจ่างชัดถึงปานนี้ แทนที่จะนำวิธีปฏิบัติที่ถูกต้องมาใช้ให้บังเกิดประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชน กลับเดินหน้านำวิธีการที่ผิดพลาดของสหรัฐมาใช้ชนิดไม่ลืมหูลืมตา
นั่นคือจูงใจ บังคับ หลอกลวง ให้ประชาชนต้องฉีดวัคซีน ฉีดกันไม่รู้กี่ยี่ห้อ และฉีดผสมกันระหว่างยี่ห้อ และฉีดกันไม่รู้ว่าจะจบสิ้นกันที่กี่เข็ม จนเป็นเหตุให้คนไทยล้มหายตายจากไปเป็นจำนวนมาก บ้างก็พิกลพิการ และถึงวันนี้ก็ยังดั้นด้นบังคับให้คนไทยฉีดวัคซีนกันต่อไป ทั้ง ๆ ที่ความจริงชัดเจนแล้วว่าการฉีดวัคซีนนั้นไม่ว่าจะฉีดสักกี่ยี่ห้อไขว้กันหรือจะฉีดสักกี่เข็มก็ไม่สามารถป้องกันโคบ้าได้ ก็ยังเดินหน้าจะฉีดวัคซีนกันต่อไป จนกระทั่งฉีดกันถึงเข็มที่ 5 แล้ว ในขณะที่การฉีดนั้นทำให้คนไทยสุขภาพย่ำแย่ลงจนกลายเป็นคนเสพติดวัคซีนไป
ในส่วนการตรวจอาการของโรคก็ผูกขาดเครื่องไม้เครื่องมือที่ใช้ในการตรวจ เปิดช่องให้ผู้เกี่ยวข้องทำมาหาประโยชน์จากความเดือดร้อนทุกข์เข็ญของราษฎรแสวงหากำไรกันอย่างเอิกเกริก และเพราะการผูกขาดทำให้คนไทยได้รับการตรวจช้า รู้ผลการตรวจช้า และเป็นเหตุให้ป่วยรุนแรงและเสียชีวิต ดังที่เคยเกิดขึ้นซ้ำซ้อนในปัจจุบันนี้
สองปีกว่าแล้วที่มีโคบ้าระบาด แต่ประชาชนไม่เคยได้รับแจ้งให้ทราบว่าจะต้องใช้ยาอะไรมารักษา ทั้งที่ในการรักษานั้นก็ปรากฏว่าสามารถรักษาคนป่วยให้หายได้กว่า 2 ล้านคน หรือเกือบหมด แต่กลับปกปิดไม่ให้ประชาชนทราบว่าใช้ยาอะไรรักษา ไม่เคยรับรองแบบแผนยาให้ประชาชนไปซื้อหากันเองเหมือนกับที่มีปฏิบัติในหลายประเทศ
จัดระบบการผูกขาดในการรักษาไว้เพื่อแสวงหาประโยชน์จากชีวิตและความเดือดร้อนจากประชาชนชาวไทยอย่างเลือดเย็น ทั้งที่รู้ดีอยู่แล้วว่าโคบ้านั้นก็ไม่ต่างกับไข้หวัดใหญ่ ถ้ารักษาให้ไวตั้งแต่รู้ว่ามีอาการไม่ปกติ ให้หายามากินและบรรเทาอาการไอเจ็บคอให้ทันท่วงทีก็จะหายป่วยได้ในวันสองวันเท่านั้น แต่ไม่ยอมบอกความจริงแก่ประชาชนและยังตั้งหน้าทำมาหากินไม่เลิกรา ช่างใจดำอำมหิตอย่างยิ่ง
ที่น่าก่นด่ามากที่สุดก็คือการสั่งซื้อยาที่รักษาโรคไม่ได้มาใช้กับคนไทย เพียงเพื่อต้องการหาประโยชน์จากการสั่งซื้อนั้น แม้ความจริงจะปรากฏชัดว่ายาที่สั่งซื้อมาใช้นั้นรักษาโคบ้าไม่ได้ แม้ประเทศผู้ผลิตทั้งสามแห่งในโลกก็ไม่อนุญาตให้ใช้ยาชนิดนี้ในการรักษาโคบ้า แต่ก็ยังดันทุรังซื้อหามาใช้นับร้อย ๆ ล้านเม็ด เป็นการโกงกับชีวิตเลือดเนื้อประชาชนอย่างโหดเหี้ยมอำมหิต
และเพราะรู้ว่ายานั้นใช้รักษาไม่ได้จึงใช้กลอุบายสั่งยาอื่นประกอบ ไม่ว่าจะเป็นฟ้าทะลายโจรหรือยาพาราเซตามอลซึ่งเป็นยาที่รักษาโคบ้าให้หายได้มาใช้เสริม นี่คือความเจ้าเล่ห์แสนกลที่ทำมาหากินกับชีวิตราษฎรโดยแท้
นับตั้งแต่โคบ้าระบาดก็ทำการปิดประเทศ ทำให้กิจการท่องเที่ยวและการค้าขายของประเทศพังพินาศป่นปี้ พอผ่อนผันบ้างก็ต้องให้คนต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศต้องเข้าระบบการกักตรวจ ซึ่งจะต้องเสียค่าใช้จ่ายคนละประมาณ 30,000 บาท โดยในตอนแรก ๆ รัฐก็เป็นผู้จ่ายให้
ต่อมาเมื่อรัฐถังแตกก็โยนภาระไปให้ชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศเป็นผู้จ่ายเอง สร้างความยุ่งยากลำบากให้แก่การเข้าเมืองของคนต่างชาติ
แต่น่าเสียดายที่ยังไม่มีการสำรวจตรวจสอบว่าในการกักตรวจของชาวต่างชาตินั้นมีการทำมาหากินอะไรกันบ้าง แบบไหน และเป็นจำนวนเท่าใดต่อราย ซึ่งถ้าหากมีสิ่งนี้ก็นั่นแหละที่เป็นแรงจูงใจหรือเป็นเหตุปัจจัยที่ก่อให้เกิดการกักตรวจต่อเนื่องยาวนานมาจนถึงวันนี้ และอาจเป็นที่มาของการสร้างสถานการณ์เพื่อให้มีการกักตรวจกันต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด
และแน่นอนว่าถ้ามีเหตุปัจจัยเช่นนั้นก็เชื่อมโยงอยู่กับการอาศัยอำนาจพิเศษคือการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน จึงทำให้มีข้อสังเกตว่าเรื่องเหล่านี้เกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงและเป็นเหตุให้ประเทศไทยต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในการรับมือกับโรคระบาดยาวนานที่สุดในโลก
ณ บัดนี้ความจริงได้ปรากฏชัดเจนต่อชาวโลกแล้วว่าไวรัสโคบ้าแท้จริงก็คือโรคประจำถิ่นไม่ต่างกับไข้หวัดใหญ่ และมีผู้เสียชีวิตไม่ได้มากกว่าการเสียชีวิตเพราะไข้หวัดใหญ่เลย แต่เพราะเหตุสร้างสถานการณ์กันจนน่าหวาดกลัวจึงเกิดการทำมาหากินกันขนานใหญ่ในโลก
ประเทศจีนซึ่งประสบความสำเร็จในเรื่องนี้ได้ใช้วิธีให้ใช้ยาตั้งแต่วันที่รู้สึกว่ามีอาการไม่ปกติและเป็นผลให้หายได้อย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ปีที่ผ่านมาประเทศจีนไม่มีผู้เสียชีวิตจากโคบ้าอีกเลย ในขณะที่ประเทศไทยกำลังมียอดผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเกือบวันละร้อยคนแล้ว
คนไทยติดเชื้อมากเท่าใด ตายมากเท่าใด ก็ยิ่งเป็นโอกาสให้ขบวนการโกงชาติหากินกับชีวิตของประชาชน ยิ้มย่องผ่องใสทำมาหากินกันอย่างเพลิดเพลินจนลืมตัวลืมตาย และต้องมีการขยายการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินกันต่อไป และคงขยายกันจนสิ้นสุดวาระของรัฐบาลนี้นั่นแหละ
ดังนั้นจึงมีการตั้งข้อสังเกตว่าตราบใดที่พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ตราบนั้นประเทศไทยก็ต้องอยู่ภายใต้การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินไปตราบนั้น นี่คือความมือมนอนธการที่ครอบคลุมประเทศไทยอยู่ในทุกวันนี้
ขณะนี้ประเทศทั้งหลายได้เปิดประเทศ ยกเลิกการกักตรวจแล้ว แม้ในอาเซียนก็เปิดประเทศยกเลิกการกักตรวจกันไปแทบหมดแล้ว ล่าสุดคือประเทศพม่าและกัมพูชาได้เปิดประเทศและยกเลิกการกักตรวจแล้วตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2565 ในขณะที่ประเทศไทยยังยื้อไปจนถึงเดือนกรกฎาคม 2565 เอากันจนให้ถึงหยดสุดท้ายนั่นแหละ.