โฮสเทลหลอนข้างสุสาน
เรื่องนี้พึ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้เพียงอาทิตย์เดียว! ด้วยความที่ภาพจำยังชัดเจน จึงได้ตัดสินใจมา เล่าเรื่องผี ลงพันทิป ในช่วงวันที่ 12-14 ต.ต.ที่ผ่านมานี้ ผมได้มีโอกาสไปร่วมงานบุญกฐินเนื่องในวันคล้ายวันเกิดของพระอาจารย์ที่เคารพนับถือในสำนักป่าที่อ.สังขละ จ.กาญจนบุรี โดยวางแผนไว้ว่าตนจะไปขึ้นรถตู้ที่หมอชิตใหม่เพื่อเดินทางไป และคงถึงราวเย็นๆของวันที่ 12 แต่แล้วเมื่อวันเดินทางมาถึง ทุกอย่างกลับไม่เป็นไปตามที่คิด เพราะช่วงนั้นเป็นช่วงหยุดยาว รถตู้ถูกจองแน่นทุกที่นั่ง สุดท้ายผมไปได้คิวออกจากหมอชิตก็เที่ยว 4 โมงเย็น เรียกว่ากว่าจะถึงจริงๆคงมืดค่ำไปแล้วเรียบร้อย แน่นอนว่าเมื่อแผนมันผิดเพี้ยนไปหมด จากเดิมที่กะว่าจะลงบขส.กาญจนบุรีแล้วต่อรถไปสำนักป่า แต่ป่านนั้นรถคงหมดเรียบร้อยไปแล้ว จึงได้คว้าโทรศัพท์คู่ใจออกมาสไลด์หาที่พัก แต่แล้วก็ต้อวพบกับความจริงที่ว่า “นั่นเป็นวันหยุดยาว” การจะได้ที่พักใกล้กับบขส.ในเวลากระชั้นชิดก็หาได้ยากแล้ว สุดท้ายก็ไปได้ที่พักในบริเวณใกล้เคียงที่ห่างออกไปหน่อย ซึ่งเป็นสุสานดอนรัก ใช่แล้ว ถึงที่พักที่ผมหาได้นั้นอยู่ใกล้ชิดกับสุสานขนาดนั้นผมก็ไม่ได้กังวลอะไร ออกจะรู้สึกโล่งใจด้วยซ้ำ ในที่สุดก็ไม่ต้องนอนข้างทาง
กว่าจะถึงกาญจนบุรีก็ปาเข้าไป 2 ทุ่มแล้ว เลยต้องต่อมอเตอร์ไซค์วินเพื่อเข้าไปที่พักที่จองไว้ผ่านแอพในราคาสามร้อยบาท โดยผมเลือกเป็นโฮสเทลเตียง 2 ชั้น เรียกว่าอน่างน้อยก็มีเพื่อนล่ะนะ ปรากฏว่าในซอยนั้นดีกว่าที่คิดไว้เยอะ แม้จะอยู่ติดสุสานแต่เต็มไปด้วยร้านั่งดื่มและบาร์มากมาย เรียกว่าที่นั่งผ่านสุสานมาเมื้อกี้คือหายกลัวไปเป็นปลิดทิ้ง แถมที่พกก็ยังสวยดูดีเกินคาด หลังจากได้หมายเลขห้องและเตียงตอนเช็คอิน ก็รีบจะไปนอนทันทีด้วยความเพลีย ห้องของผมอยู่ชั้นแรกตรงข้ามกับบันไดทางขึ้นไปชั้นสอง เปิดผัวะออกมาก็ถึงกับหน้าชาไปเลย เพราะในนั้นไม่เจอใครสักคน จนต้องเดินออกไปถามที่เช็คอินอีกที“ใช่ครับ คืนนี้มีน้องเช็คอินเข้าพักคนเดียว"
สรุปว่ามีผมคนเดียวในห้องรวมคืนนี้จริงๆ! แต่กระนั้นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ผมตัดสินใจออกไปเดินเล่นแถวนั้นราวชั่วโมงจึงกลับมา โดยที่ไม่นึกไม่ฝันว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นจะนำมาสู่การ เล่าเรื่องผี ในกระทู้นี้… เนื่องจากผมนอนคนเดียวเลยเปิดไฟห้องนอนซะเลย แล้วปิดไฟหัวอตียงและรูดม่านเอา นอนหปได้สักพักก็ได้ยินเสียงคล้ายเสียงคนคุยกัน ผมครึ่งหลับครึ่งตื่นด้วยความรำคาญใจ พรางนึกว่าห้องข้างๆคุยอะไรกันหนักหนา นี่มันก็ดึกมากแล้ว แต่พอลองสังเกตุดูดีๆเสียงนั่นไม่ได้ทะลุกำแพงมา แต่มันมาจาก “ร่างเงา” ร่างใหญ่ที่กำลังนั่งทับอกเราอยู่ต่างหาก
แสงสลัวในห้องกระทบร่างใครบางคนที่ดูสูงใหญ่ โดยแสงทะลุผ่านเข้ามาเป็นเงาทอดอยู่บนม่าน ผมสะดุ้งตกใจอย่างหนัก ห้องนี้มันไม่ควรมีใครอื่นแล้วนะ พรางคิดหาเหตุผลไปเหงื่อก็เริ่มแตก มือไม้สั่นไปหมด ตอนนั้นเริ่มคิดได้ถึงจุดที่ว่า เราต้องสวดอะไรสักอย่างออกไปแล้ว เราต้องท่อง!
“พุทธธังอาราธนัง ธรรมมังอาราธนัง สังคังอาราธนัง”
สวดเสร็จลองเปิดไฟที่หัวเตียงดู ปรากฎว่าไม่เจออะไร นี่มันเรื่องอะไรกัน ใช่ผีรึเปล่า? ทำไมเราต้องมาเจออะไรแบบนี้ ขยับตัวก็ลำบาก พลางเริ่มสวดแผ่เมตตาต่อ แล้วเอามือควานค้นหาของที่พอจะช่วยได้ในเวลาแบบนั้นก็ไปเจอผ้ายันต์ในกระเป๋าผืนหนึ่ง เพราะเกิดแผ่ไปแล้วเขาไม่รับก็ซวยนะสิ
สวดจบ สาธุๆ ก็มีเสียงเฮโลดีใจของผู้ชายดัง เฮๆๆๆ เหมือนกับดีอกดีใจรอดดังเข้ามาอีก พยายามคิดให้ได้ส่าเป็นเสียงคน เรียกความกล้าเฮือกสุดท้ายหยิบข้าวของแล้ววิ่งออกจากห้องไปที่ล็อบบี้ทันที ในใจคือไม่อยู่ที่นี่แล้ว เลยออกเดินไปเรื่อยๆ เจอที่พัก 3 ที่ก็เต็มมันทุกที่ ตอนนั้นตี 2 แล้วสุดท้ายก็ยอมจำนน ต้องกลับมาที่เดิมแต่ไม่เข้าไปนอนในห้องกับผีแล้วนะ งั้นก็นอนมันหน้าล็อบบี้นี่แหละ ที่ล็อบบี้แม้ไม่มีใคร(เจ้าของจะเข้ามาตอนมีแขกโทรไปเรียกมาเช็คอินเท่านั้น) อย่างน้อยก็ยังมีกล้องวงรปิดเป็นเพื่อน ซ้ำยังมีโซฟาและพัดลมให้นอนได้ นอนจนกระทั่ง 7 โมงเช้าเจอแขกคนนึงออกมาทานอาหารเช้าในก้องถัดจากล็อบบี้ ทีแรกลุงแกนึกว่าเป็นพนักงาน ถามไปถามมาแกก็สงสัยว่าทำไมเรามานอนตรงนี้ ครั้นจะเล่าไปก็กลัวจะหาว่าบ้า เลยแกล้งบอกไปว่าเมื่อคืนเมาแล้วเผลออ้วกใส่ที่นอน จนกระมั่งฟ้าสว่างแล้วถึงกล้ากลับเข้าไปเอาของที่เหลือในห้อง เนื่องจากว่าในห้องมีห้องน้ำแยกในห้อง ปรากฎว่าในห้องตรงหัวเตียงผมนี่หันเข้ากับส้วมพอดิบพอดี ฮวงจุ้ยไม่น่านอนเอาซะเลย แต่ได้ยินว่ามีแขกผู้หญิงคนนึงบ่นว่าตอนตีสอง อยู่ๆแอร์ในห้องก็ดับ ซึ่งมันเป็นเวลาเดียวกันกับตอนที่ผมเจอเงาประหลาดพอดิบพอดี สุดท้ายหลังจากเสร็จงานกลับไปแล้ว อ่านแล้วหลอนเอง น่ากลัว