นางรำคนที่ 3
ในช่วงม.5 เราได้เป็นส่วนหนึ่งของการแสดงในพิธีเปิดตัวอาคารเรียนหลังใหม่ที่พึ่งสร้างเสร็จ โดยในส่วนของการแสดงมีอยู่หลายชุด หนึ่งในนั้นคือการ “รำกฤษฎาภินิหาร” ซึ่งเป็นเรากับเพื่อนสาวกระเทยอีกนางหนึ่งรำคู่กัน โดยปกติเราเองก็มีความเชื่อในสิ่งที่เรียกว่า “พ่อแก่” ซึ่งเปรียบเสมือนครูบาอาจารย์สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพ หากทำอะไรไม่ถูกต้องก็จะยกมือไหว้ขอขมาแก่ท่านเสมอ
อย่างไรก็ตาม มีอะไรบางอย่างที่เรารู้สึกไม่สบายใจ บางอย่างที่ทำให้รู้สึกกังวลกำลังก่อตัวขึ้น เวลาที่ไปซ้อมรำกฤษฎาภินิหารทุกครั้งที่ห้องนาฏศิลป์ แต่พอหันไปมองเพื่อนกระเทย นางกลับดูเฉยๆ เราก็พยายามจะบอกตัวเองว่าคงคิดมากเกินไป ห้องที่ว่านี้จะมีลักษณะเป็นห้องที่กรุล้อมรอบไปด้วยบานกระจกขนาดใหญ่ทั่วทุกทิศ โดยที่ด้านหลังของห้องจะมีแท่นวางองค์พ่อแก่ ชฎาต่างๆ และมีหุ่นพระหุ่นนางอยู่เคียงกัน ทุกครั้งที่เรามาซ้อมบรรยากาศค่อนข้างจะวังเวง เนื่องจากนักเรียนชั้นมัธยมปลายนั้นเลิกเรียน 5 โมงเย็น
กว่าจะได้ลงมาซ้อมที่ห้องนาฏศิลป์ เด็กๆรุ่นน้องที่ซ้อมเสร็จก่อน ก็พากันกลับบ้านหมดแล้ว ในเย็นวันหนึ่งหลังเลิกเรียน เราลงมาซ้อมคนเดียว ขณะที่ซ้อมรำไปอยู่นั้น ก็รู้สึกขนลุกพิกลเหมือนกับว่ามีใครอีกคนกำลังจ้องมองมาทางเราอย่างเงียบๆ เวลาที่ขยับตัวหรือคอเอี้ยวไปมา หางตาก็เหมือนจะเหลือบไปเห็นคล้ายกับใครบางคนมายืนรำอยู่ข้างๆ แว่บไปแว่บมา จนพาลให้คิดว่าความเหนื่อยล้าคงทำให้ตาฝาด กระทั่งเพื่อนกระเทยเปิดประตูห้องเข้ามาแล้วทักถามอย่างประหลาด… “เมื่อกี้ครูมาช่วยดูการซ้อมให้เหลือ มองเข้ามาจากข้างนอก เห็นรำท่าเดียวกันเลย” เท่านั้นแหละเหงื่อทุกเม็ดในร่างเราก็พร้อมใจกันผุดออกมาท่วมตัว จนดูเหมือนเดื่อนมันจะสังเกตเห็นสีหน้าท่าทางเราไม่ดี จึงได้พากันยุติการซ้อม
และแล้ววันที่ต้องขึ้นแสดงก็กำลังจะมาถึง คืนก่อนที่จะถึงเช้าวันแสดงเราตั้งใจที่จะเข้านอนแต่หัวค่ำเพื่อจะรีบตื่นแต่เช้ามืด ในสภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่นไม่รู้แน่ชัดว่ากี่โมงกี่ยาม เราลุกงัวเงียขึ้นมาแล้วพบว่าหน้าต่างบานหนึ่งถูกเปิดทิ้งเอาไว้ และแสงจากด้านนอกได้สาดส่องเข้ามาตกที่กลางห้อง แต่ที่แปลกจนทำให้ตาสว่างเป็นปลิดทิ้งก็คือเงาที่ฉายอยู่บนแสงนั่น มันดูคล้ายกับนางรำในชุดทรงเครื่องกำลังหักงอแขนเป็นวงตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางห้อง บอกตรงๆว่าขนลุกเลยค่ะ นึกอะไรไม่ออกก็ต้องพึ่งบทสวดสุดคลาสสิคอย่าง “นโมตัสสะ” สามจบแล้วรีบมมุดใต้ผ้าห่มทันที
กระทั่งเช้าตี 5 ก็ออกจากบ้านเพื่อที่จะรีบไปเตรียมตัวแต่งหน้าทำผมที่โรงเรียน ขณะจะออกจากบ้านนั่นเอง หมาเจ้ากรรมก็พากันหอนระงมดั่งสนั่นราวกับนัดกันมาตั้งแต่หัวซอยยันท้ายซอย ในเวลาแบบนี้ยิ่งทำให้ใจคอไม่ดี ในที่สุดเราก็ไปถึงโรงเรียนและตระเตรียมทุกอย่างเรียบร้อย ตอนนี้อยู่ในชุดขนาดเต็ม สำหรับชุดในการแสดงนี้ หากใครอยากลองนึกภาพตาม ให้ดูอ้างอิงจากชุดแสดงเป็นนางสีดาจากรามเกียรติ์ดู เป็นลักษณะใกล้เคียงแบบนั้น
อย่างไรก็ตาม เรารู้สึกไม่สบายตัวแปลก แน่นจุกอยู่แถวหน้าอก ทั้งๆที่ชุดก็ไม่ได้เล็กหรือคับแต่อย่างใด จนเพื่อนกระเทยที่ต้องรำคู่กันมาพูดเปรยๆว่า “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็ขอให้อยู่รำให้จบตลอดรอดฝั่งนะ” ดูเผินๆก็เหมือนคำให้กำลังใจกัน แต่ก็แอบแฝงอะไรที่ชวนลึกลับอยู่ในที่สุดเวลาเริ่มการแสดงก็มาถึง เวลาเก้านาฬิกาที่ซึ่งเป็นเวลาพิธีเปิดตามกำหนดการ การแสดงชุดแล้วชุดเล่าต่างผ่านพ้นไปด้วยดี จนมาถึงชุดของเรา เราพยายามตามที่ซ้อมมาอย่างเต็มที่ที่สุด จนกระทั่งผ่านไปได้สักพักหนึ่ง เราก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง อะไรที่ว่านั่นคือการที่มีนางรำอีกคนขึ้นมารำด้วยบนเวที!
แม้จะมองไม่เห็นกะตา แต่ต้องมีคนที่ 3 อยู่บนเวทีวันนั้น และไม่ว่าเสียงอึกทึกและเสียงจากเครื่องดนตรีจะดังสนั่นเพียงใด เรายังคงได้ยินเสียงหายใจฟืดฟาดของใครคนนั้นอยู่ข้างหูเสมอ จนทำให้มือไม้ชักจะเย็นชาขึ้นมา เพื่อนที่รำคู่กันก็เอ่ยขึ้นมาว่า…ให้พยายามเข้านะ จนกว่าจะจบ กระทั่งเข้าสู่ช่วงสุดท้ายของการแสดง มีอยู่จังหวะหนึ่งที่เราเผลอเอี้ยวหัวผิดทาง จู่ๆก็มีเสียงกระซิบแหวกอากาศและเสียงดังรอบข้างเข้ามา “ตั้งใจ..รำหน่อยสิ..” พร้อมกันนั้นก็มีแรงบางอย่างที่มองไม่เห็นค่อยๆดัดหัวเราให้เอียงกลับไปในทิศทางที่ถูกต้องช้าๆ…. ถึงตอนนั้นก็แทบจะกลั้นความสั่นไว้ไม่อยู่แล้ว แต่ในที่สุดทุกอย่างก็จบลงด้วยดี มีเพียงเรานั่นเองที่ทรุดลงไปกับพื้น จนสตาฟท์รอบๆต้องหามลงมาจากเวที
กระทั่งอาจารย์ได้เข้ามาดูอาการ พร้อมๆกับที่เพื่อนคู่รำก็ตามมาสมทบ อาจารย์สอบถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้นแต่เพื่อนกระเทยชิงตอบแทนขึ้นทันควัน “อาจารย์…มีใครก็ไม่รู้ขึ้นมารำกับพวกเราด้วย” พอได้ฟังแบบนั้น เราถึงกับตาโพลงแล้วถามขึ้นด้วยตกใจ ว่ามีคนเห็นเหมือนกันด้วยเหรอ?
“เออสิ เราเห็นเขาในชุดไทยเดินตามตั้งแต่ช่วงแต่งตัวกันแล้ว กระทั่งถึงเวลาแสดง เขาก็ขึ้นไปรำข้างๆแกร บางจังหวะก็เหมือนประคองรำไปด้วย"ยิ่งฟังก็ยิ่งสยอง วันนั้นเราไม่เป็นอันทำอะไร กลัวจนตัวสั่นจนต้องโทรให้แม่มารับกลับ อย่างไรก็ตาม เรามาโรงเรียนได้ตามปกติในวันถัดมา มีอาจารย์ท่านหนึ่งที่ได้ชมการแสดงเมื่อวานเจอเราแล้วก็ทักขึ้นว่า…
“ปกติกฤษดาภินิหารเค้ารำกันเป็นคู่ไม่ใช่หรือ ทำไมงานเมื่อวานมีกัน 3 คน ??”
เราเองก็อยากจะถามเหมือนกันว่าทำไม แล้วเธอคนนั้นเป็นใคร… หลังจากนั้น เราก็ชวนเพื่อนที่รำคู่กันไปทำบุญ อุทิศส่วนกุศลให้ผู้หญิงคนนั้น ขอขมาลาโทษหากได้ล่วงเกินสิ่งใดไป อย่างไรก็ตามหลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น เราต้องทำใจอยู่พักใหญ่กว่าจะกล้าเข้าห้องนาฎศิลป์ได้ โชคยังดีที่ตั้งแต่คราวนั้น ก็ไม่เคยเจออะไรแบบนั้นอีกเลย อาจารย์และพี่ๆน้องๆชาวนาฏศิลป์เชื่อกันว่าวิญญาณผู้หญิงคนนั้น คงปรารถนาให้การแสดงของเราออกมาดี อย่างไม่ผิดพลาด จึงมาคอยช่วยเหลือมากกว่าจะมีเจตนาไม่ดี