สังเกตอาการ โรคต้อกระจก (Cataract) รู้ก่อนรักษาก่อน!
ดวงตาเป็นอวัยวะสำคัญของร่างกายที่เราต้องใช้งานอยู่ตลอดการใช้ชีวิต ดังนั้นแล้วหากเกิดความผิดปกติขึ้นกับการมองหรือแค่มีการเลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยก็สามารถรู้ได้ในเวลารวดเร็ว อาการต้อกระจก เป็นความผิดปกติอย่างนึงเกี่ยวกับหารมองเห็น หากปล่อยไปเป็นเวลานานโดยไม่รับการรักษาอาจจะทำให้เราต้องเสียดวงตาคู่ที่สำคัญไปได้
ต้อกระจก (Cataract) คืออะไร ?
ต้อกระจก (Cataract) เป็นภาวะการเปลี่ยนแปลงของเลนส์ตาที่เกิดการขุ่นมัวขึ้น ซึ่งในปกติแล้วเลนส์ตาจะมีลักษณะเป็นสีใส โดยมีหน้าทีสำคัญช่วยในการรวมแสงให้ตกลงบนจอประสาทตาพอดี เมื่อเกิดต้อกระจกจะทำให้แสงไม่สามารถเข้าไปในตาได้อย่างปกติ ดังนั้นการมองเห็นภาพจะมีลักษณะที่ไม่ชัดเจนหรือมีอาการตามัว บางก็เห็นภาพซ้อนกัน
ต้อกระจกเกิดจากสาเหตุใด
ต้อกระจก (Cataract) เป็นโรคที่มักเกิดกับผู้ที่ที่อายุสูงตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป โดยเกิดจากความเสื่อมสภาพของโปรตีนที่เป็นองค์ประกอบของเลนส์ตา ส่งผลให้ให้เลนส์ตาขุ่นและแข็งขึ้น สาเหตุหลักของโรคนี้คือความเสื่อมสภาพตามวัยที่มากขึ้น แต่ก็สามารถพบในกลุ่มของบุคคลอายุน้อยได้เช่นกัน เช่น ความผิดปกติตั้งแต่กำเนิดจากมารดาที่ติดเชื้อหัดเยอรมันขณะตั้งครรภ์
สาเหตุอื่นที่เป็นปัจจัยทำให้เกิดต้อกระจก
นอกจากสาเหตุหลักข้างต้นที่กล่าวมาแล้วก็ยังมีเหตุมาจากสิ่งอื่น ๆ อีก เช่น
- มีโรคประจำตัวที่มีผลต่อการเป็นต้อกระจก เช่น ต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติ โรคเบาหวาน ความดันสูง
- โรคเกี่ยวกับดวงตา เช่น ม่านตาอักเสบ สายตาสั้นมากๆ เคยผ่าตัดตามาก่อน
- ดวงตาได้รับรังสีอัลตราไวโอเลตหรือแสง UV เป็นเวลานานๆ รวมทั้งการฉายรังสีในส่วนบนของร่างกาย ศีรษะ
- มีการใช้ยาในกลุ่มสเตียรอยด์เป็นเวลานาน
- เคยได้รับอุบัติเหตุที่ดวงตาหรือดวงตาได้รับการกระทบกระเทือนอยู่บ่อยครั้ง
อาการส่งสัญญาณเตือนโรคต้อกระจก
ผู้ที่เป็นโรคต้อกระจก (Cataract) โดยส่วนใหญ่แล้วจะมีอาการมองเห็นไม่ชัดเจนเป็นในช่วงกลางวันหรือช่วงแสงสว่างจ้ากว่า แต่มองเห็นเป็นเกือบปกติในช่วงกลางคืน ในบางกรณีอาจมีอาการเห็นเป็นภาพซ้อน และมีค่าสายตาเปลี่ยนเรื่อยๆจนทำให้ต้องเปลี่ยนแว่นอยู่บ่อยครั้ง หรือสายตาของบางคนไม่สามารถสู้ต่อแสงจ้าได้เลยก็มีเช่นกัน
ต้อกระจกมีกี่ระยะ อาการเป็นอย่างไร
อาการโรคต้อกระจก (Cataract) สามารถแบ่งออกเป็นได้ทั้งหมด 3 ระยะ ซึ่งได้แก่
- ระยะเริ่มแรก เป็นระยะที่สายตามีการเปลี่ยนจุดโฟกัส ทำให้การมองจากใกล้เปลี่ยนไปไกล หรือมองจากไกลเปลี่ยนมาใกล้ ในบางคนจะมีอาการตามัวลง ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนอย่างเก่า รวมไปถึงเมื่อมองที่หลอดไฟจะเห็นเป็นแสงสะท้อนกลับมา ซึ่งอาการเหล่านี้ทำให้ดวงตาล้าได้ง่าย
- ระยะก่อนต้อแก่ ในระยะนี้ลักษณะของแก้วตาจะมีความขุ่นมากขึ้นกว่าระยะแรก โดยจะเริ่มมีความขุ่นจากตรงกลางของดวงตา ซึ่งในระยะนี้แพทย์จะคำแนะนำใส่แว่นสายตาหรือแว่นกันแดดเพื่อช่วยในเรื่องการมองเห็น
แก้วตาขุ่นทั้งหมด หรือเรียกว่าระยะต้อสุุก เป็นระยะที่ความขุ่นของโปรตีนมีการกระจายไปยังส่วนต่างๆจนไปถึงแก้วตาทั้งหมด ซึ่งระยะนี้จะส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันเป็นอย่างมากจึงทำให้แพทย์มักจะแนะนำให้เข้ารับการผ่าตัดแก้วตา - ระยะต้อสุกเกิน เป็นระยะที่แก้วตามีความขุ่นมากขึ้นและสายตามัวลงเป้นอย่างมาก จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดโดยด่วน หากปล่อยทิ้งไว้อาจจะทำให้ผ่าตัดได้ยากขึ้นแล้วยังอาจก่อเกิดอาการแทรกซ้อนต่างๆขึ้นมาได้ เช่น ต้อหิน นอกจากจะมีอาการตามัวแล้วจะมีอาการปวดตาเพิ่มมาด้วย ในทางเลวร้ายแม้จะทำการผ่าตัดแล้วแต่การมองเห็นอาจจะไม่ได้ดีขึ้นตาม
การตรวจวินิจฉัยต้อกระจก
เมื่อตรวจพบว่าดวงตามีลักษณะขุ่นเป็นต้อกระจก และยังอยู่ในระยะแรกหรือระยะก่อนต้อแก่ซึ่งดวงตายังมีอาการที่ไม่รุนแรง นอกเหนืออาการตามัวหรือมองไม่เห็นไม่ชัดเจน รวมทั้งเห็นแสงสะท้อนจากดวงไฟ แพทย์จะแนะนำโดยให้ผู้ป่วยใส่แว่นตาเพื่อช่วยเรื่องในการมองเห็นและตัดแสงสะท้อน แต่สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงมากหรืออยู่ในระยะที่ต้อมีความแก่เป็นต้นไป ซึ่งดวงตาในระยะนี้มีอาการขุ่นมัวอย่างมาก จนมีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน แพทย์จะแนะนำให้เข้ารับการผ่าตัดโดยไวที่สุด
วิธีรักษาต้อกระจก
การรักษาต้อกระจกจะเป็นการรักษาตามอาการของโรคที่ปรากฏ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 วิธี คือ การรักษาในระยะเริ่มต้นของต้อกระจกและการรักษาในระยะที่มีอาการรุนแรง
วิธีรักษาต้อกระจกระยะเริ่มต้น
วิธีนี้สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการต้อกระจกในระยะแรกหรือยังไม่มีอาการรุนแรง และยังไม่มีผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันมากเท่าไหร่ แพทย์จะแนะนำให้ใส่แว่นสายตาเพื่อช่วยในการมองเห้นที่ชัดเจน แทนการเข้าผ่าตัดตั้งแต่แรก
วิธีรักษาต้อกระจกด้วยการผ่าตัด
การรักษาต้อกระจกยังไม่มีทั้งยาหรือและยาหยอดที่จะมาช่วยให้อาการต้อกระจกหายขาด ในกรณีที่มีอาการรุนแรงจะมีเพียงการผ่าตัดเท่านั้นที่สามารถรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด โดยการผ่าตัดรักษามี 2 วิธี
- วิธีสลายต้อกระจกด้วยคลื่นอัลตร้าซาวด์ (Phacoemulsification)
เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน โดยมีวิธีการเริ่มจากการฉีดยาชาแล้วผ่าตัดเปิดแผลขนาด 3 มิลลิเมตรเพื่อนำเครื่องมือเข้าไปสลายเลนต์ต้อกระจกที่ขุ่น จะเหลือเพียงเปลือกหลังของเลนส์แก้วตาเพื่อนำเลนส์แก้วตาเทียมเข้าไปแทนที่ สำหรับการผ่าตัดด้วยวิธีนี้แผลจะสมานตัวอย่างรวดเร็วโดยไม่มีความจำเป็นต้องเย็บแผลเพราะเนื่องจากแผลบริเวณผ่าตัดมีขนาดที่เล็กมาก และหลังจากเข้ารับการรักษาแล้วจะสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนมากขึ้น และสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้เป็นปกติ
- วิธีผ่าตัดต้อกระจกแบบเปิดแผลกว้าง (Extracapsular Cataract Extraction)
เป็นวิธีผ่าตัดดั้งเดิมในกรณีที่ต้อกระจกสุก ซึ่งมีลักษณะแข็งมากจนทำให้ไม่สามารถผ่าตัดด้วยวิธีสลายด้วยคลื่นอัลตราซาวด์ได้ แพทย์จึงจำเป็นต้องผ่าตัดเปิดแผลครึ่งบนของลูกตาเป้นความยาวประมาณ 10 มิลลิเมตรเพื่อที่จะเอาเลนส์แก้วตาที่เป็นต้อกระจกออก โดยเหลือเปลือกถุงหุ้มเลนส์ด้านหลังเพื่อใส่เลนส์แก้วตาเทียมเข้าไป ซึ่งวิธีการนี้จะต้องเย็บแผล
การผ่าตัดต้อกระจกพร้อมรักษาค่าสายตา
การผ่าตัดต้อกระจกเป็นการนำเลนส์แก้วตาที่ขุ่นมัวออก และนำเลนส์แก้วตาเทียมเข้าทดแทนเลนส์ธรรมชาติ ซึ่งเลนส์แก้วตาเทียมนี้สามารถจะแก้ไขภาวะของสายตาสั้น-ยาวและสายตาเอียงได้ภายในครั้งเดียว
เลนส์แก้วตาเทียมจะมีทั้งหมด 3 ชนิดหลักๆตามความเหมาะสมเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาของสายตา สำหรับผู้ป่วยที่ต้องการแก้ไขปัญหาสายตายาวจะใช้เลนส์เทียมชนิด Monofocal Intraocular Lens (Monofocal IOL) และชนิด Toric Intraocular Lens (Toric IOL) สำหรับผู้ป่วยที่ต้องการรักษาปัญหาเรื่องสายตาเอียง
หลังจากเข้ารับการผ่าตัดแล้ว ควรปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดและใช้ยาให้ครบถ้วนตามที่แพทย์สั่ง ส่วนยาประจำตัวสามารถทานได้ตามปกติ ห้ามขยี้ดวงตาข้างที่ผ่าตัดรวมทั้งห้ามโดยน้ำโดยเด็ดจาด หากต้องการทำความสะอาดใบหน้าให้นำผ้าชุบน้ำสะอาดและบิดให้แห้งเช็ดรอบดวงตาและใบหน้าแทนการล้างหน้าตรงๆ สวมแว่นตาทุกครั้งเมื่อต้องออกไปในที่แจ้งและใส่ที่ครอบตาในตอนกลางคืน
ที่สำคัญต้องไปตามนัดของแพทย์จนกว่าแผลจะหายดีและหากเกิดอาการผิกปกติ เช่น ดวงตาข้างที่ผ่าตัดกลับมามัวอีกครั้ง ขี้ตาเหลือง คลื่นไส้อาเจียน หรือจามรุนแรง ให้รีบพบแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษาโดยทันที
วิธีป้องกันโรคต้อกระจก
โรคต้อกระจกไม่สามารถป้องกัรได้อย่าง 100 % เพราะเป็นอาการที่เกิดขึ้นจากความเสื่อมสภาพตามวัย แต่เราสามารถป้องกันเพื่อชะลอโรคนี้ให้ช้าลงได้ ด้วยการหลีกเลี่ยงจากสิ่งเหล่านี้
- ควรพักผ่อนให้เพียงพอ
- ระวังดวงตาไม่ให้ได้รับบาดเจ็บหรือถูกกระแทก
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาประเภทสเตียรอยด์
- ไม่ควรใช้สายตาเป็นระยะเวลายาวนาน พักเป็นระยะ
- สวมแว่นกันแดดในบริเวณที่แดดจ้าเพื่อป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลต
- งดการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอร์
- หมั่นตวรจสุขภาพดวงตาเป็นประจำทุกปี
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะอาหารที่มีวิตามินเอสูง
รักษาโรคต้อกระจกที่ไหนดี
ดวงตาเป็นอวัยวะที่มีสำคัญต่อการใช้ชีวิตเป็นลำดับต้นๆ และใช้งานอยู่เป็นประจำ ดังนั้นการรักษาจึงต้องมีความละเอียดอ่อนและควรให้ความสำคัญอย่างมาก หากเกิดความผิดพลาดในการรักษาแม้เพียงเล็กน้อยก็จะส่งผลกระทบให้ดวงตาไม่สามารถใช้งานได้ตามปกติหรือบอดไปเลย ในการพิจารณาเลือกเข้ารับการรักษาจึงควรเลือกจากความน่าเชื่อถือของสถานพยาบาล ทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และการได้รับรองมาตราฐานเพื่อให้ได้รับคามมั่นใจเมื่อเข้ารับการรักษาและปลอดภัย
ข้อสรุป
ต้อกระจก (Cataract) เป็นโรคความเสื่อมสภาพที่ไม่ร้ายแรงในระยะแรกเริ่ม จะมีอาการค่อยเป็นค่อยไป สามารถรักษาในเบื้องต้นได้ แต่หากปล่อยละเลยอาจจะส่งผลให้มีอาการอื่นๆแทรกซ้อนเข้ามาได้ เช่น ต้อหินที่ไม่เพียงจะทำให้ตามัวลงแล้วยังอาการปวด และถ้าปล่อยไปนานๆอาจจะสูญเสียการมองเห็นไปเลย ดังนั้นเมื่อดวงตาแสดงอาการของต้อกระจกควรรีบเข้ารับการรักษาจากแพทย์ผู้เชียวชาญเพื่อรักษาไม่ให้ดวงตาได้รับความเสียหายจนไม่สามารถกลับใช้งานได้อีก