เที่ยงคืนหลอน
เรื่องนี้เป็นเรื่องของเพื่อนผม ตั้งแต่เกิดมาผมเชื่อว่าผีมีจริง แต่ ผมก็ไม่เคยเห็นสักทีหรอกครับ ไม่ได้งมงายนะ แต่เชื่อว่ามี เพราะฟังจากประสบการณ์คนนั้นคนนี้เล่ามาให้ฟังมาตั้งแต่เด็ก ๆ แต่ละคนหลอน ๆ จนขนลุกทั้งนั้น บางครั้งผมฟังแทบไม่กล้าเข้าห้องน้ำเลย ณ ตอนนั้นนะ พอเวลาผ่านไปก็รู้สึกงั้น ๆ ถึงอย่างไรผมก็ยังเชื่อว่ามีอยู่จริงครับ
ฟังผู้ใหญ่หลายคนเล่าเหตุการณ์ที่ตนเองไปประสบพบพานมา ผมจึงซึมซับเรื่องผีมาแต่เล็กแต่น้อย ทว่าผมก็ไม่เคยเจอสักครั้ง แล้วผมก็ไม่อยากเจอด้วย อย่ามาให้ผมเห็นเลย ผมกลัว! ผมเชื่อว่าพวกคุณมีจริง ‘ผี’จนกระทั่งผมโตมาอายุได้ 18 ปีครับ วัยรุ่นของผมเที่ยวเตร่กับเพื่อนฝูงไปตามประสา กลับบ้านดึกประจำก็ไม่เคยจะเจอดีอะไร บ้านยายทวดของผมติดวัด เวลาผมไปนอนบ้านใหญ่ อ่อ บ้านยายทวดล่ะครับ ดึก ๆ ออกมาข้างนอกคุยโทรศัพท์กับแฟน ผมก็ไม่เห็นมีอะไรที่วัด นอกจากต้นโพธิ์ กระดิ่งบนยอดอุโบสถ และธาตุอัฐิคนตาย ผีสักตนก็ไม่เคยได้เห็นตั้งแต่เล็กจนโต ทว่าผมก็ไม่ได้อยากลองดีนะ อย่ามาให้ผมเห็นเลย ปีนั้นผมอายุได้ 18 ปีพอดี วันนั้นญาติห่าง ๆ ของผมจัดงานบวชหลานชายครับ ญาติห่าง ๆ ที่สนิทกัน ก็ไม่ห่างหรอกยังไปมาหาสู่กันดี คือ ยายทวดอีกคนที่เป็นน้องสาวยายทวดของผมอ่ะครับ เขาจัดงานบวชให้หลานชาย จึงแจกการ์ดเชิญครอบครัวของผมด้วย เพราะยายของผมก็มีศักดิ์เป็นหลานสาว หลานน้า!
ตอนกลางวันผ่านไปปกติ มีแห่นาค มีเลี้ยงแขกปกติธรรมดาตามธรรมเนียม ทว่าไฮไลต์อยู่ที่ตอนกลางคืนครับ มีหมอลำวงใหญ่มาเล่น ถูกใจวัยรุ่นขาโจ๋แบบผมสิครับ นัดเพื่อน ๆ เอาไว้แล้วด้วย อีกทั้งเป็นงานของยายทวดน้องของทวดผมด้วย งานนี้กินฟรีชมฟรีครับ
‘ใครจะรู้ว่าคืนนั้นผมจะเจอดีเข้าให้!’
ตอนเย็น ๆ ผมคุยโทรศัพท์กับหวานใจ เอ่อ แฟนของผมครับ แต่เจ้าหล่อนกลับงอแงกับผมซะอย่างนั้น หล่อนไม่อยากให้ผมไปดูหมอลำเลย ขัดใจผมชะมัด ทว่าเราก็คุยกันด้วยความเข้าใจ ผมเอาคำว่าญาติเข้าอ้าง หล่อนก็เลยอนุญาต ผมจึงสบายใจแต่ท่าทางของหวานใจผมยังหงุดหงิดอยู่ ถึงกระนั้นก็ยอมให้ผมไปดูหมอลำที่บ้านน้องสาวของยายทวดเหมือนเดิม เวลาผ่านไปจนมืดค่ำ ผมเตรียมตัวนัดเพื่อนฝูงไปดูหมอลำ พอรวมตัวกันครบแก๊งแล้ว จึงพากันแว้นมอเตอร์ไซค์ไปยังวัดในหมู่บ้านน้องสาวของยายทวดกันเลย และ ใครจะคิดว่าสิ่งที่ผมไม่เคยเจอ และ ไม่อยากเจอจะมาปรากฏตัวกับผม มาตอกย้ำความเชื่อให้กับผมว่า ‘มีอยู่จริง’
บุพเพสันนิวาสหรือเปล่า อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดหรือไม่ อะไรจะได้เจอมันก็ต้องได้เจอ เป็นอะไรที่หลีกเลี่ยงไม่ได้…เมื่อผมฟังหมอลำอยู่ดี ๆ ผมก็นึกสำนึกรักบ้านขึ้นมา เพราะง่วงแล้วจึงอยากกลับ เพราะอะไรก็ไม่รู้ผมถึงอยากกลับบ้าน เพราะแฟนมั้ง! ยายทวดของผมบอกว่าให้พากันนอนที่นี่เลย เพราะเดอะแก๊งของผมมีห้าคนเอง บ้านน้องสาวยายทวดหลังใหญ่ มีที่ให้นอนเยอะแยะ ทว่าผมกลับอยากกลับไปนอนบ้าน อยากคุยกับแฟนด้วย ซึ่งตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงคืนส่วนหมอลำก็จะเล่นไปน่าจะถึงตีสามนะ
ผมก็ไม่แน่ใจ แต่จู่ ๆ ผมดันอยากกลับบ้านซะอย่างนั้น อีกอย่างแฟนผมหล่อนก็อยากคุยโทรศัพท์ ซึ่งโทรมาคุยผมอยู่ในงานหมอลำมันคุยกันไม่รู้เรื่อง ผมจึงอยากกลับบ้านเพื่อไปคุยโทรศัพท์ครับผมชวนเพื่อน ๆ ในกลุ่มก็ไม่มีใครอยากกลับในตอนนี้เลย ตีสามหมอลำก็จะเลิกแล้วทว่าผมไม่ฟัง ผมขอตัวกลับก่อน หมู่บ้านของผมกับหมู่บ้านน้องสาวยายทวดก็ไม่ไกลกัน ห่างกันสะพานเดียว เป็นหมู่บ้านที่อยู่ติดกันเมื่อเพื่อน ๆ ห้ามผมแล้วไม่ฟัง พวกเขาจึงปล่อยผมกลับไปคนเดียว แล้วผมก็ไม่กลัวด้วย บิดคันเร่งรถอึดใจเดียวก็ถึงบ้านแล้ว ผมจึงปลีกตัวออกมา เดินไปบอกยายทวดของผม กับน้องสาวยายทวดเจ้าของงานว่ากลับแล้ว แต่ผมโกหกว่ามีเพื่อนกลับด้วย เพื่อความสบายใจของทวดทั้งสองคน ทวดทั้งสองคนของผมจึงไม่ห่วง อนุญาตให้ผมกลับได้ผมสตาร์ตรถได้ ออกตัวรถก็บิดคันเร่งอย่างเร็วเลย เนื่องจากถนนโล่ง ตามบ้านนอกชนบทแบบนี้สามทุ่มรถก็เริ่มไม่มีแล้ว ผมจึงบิดทำความเร็วได้ตามใจชอบ ถนนก็ลาดยางมะตอยอย่างดี ไม่เป็นอุปสรรคต่อการบิดคันเร่งรถมอเตอร์ไซค์ผมขับมาเข็มไมล์อยู่ที่เลขแปดสิบ เมื่อมาถึงสะพานเชื่อมหมู่บ้าน
ระหว่างหมู่บ้านของผมกับหมู่บ้านน้องสาวของทวดนะ สะพานตรงนี้กว้างมาก! กว่าจะขับพ้นก็หลายเมตรเพราะทำข้ามลำห้วยสาธารณะ ความเร็วรถของผมที่ขับมาแปดสิบ กลับลดลงเหลือน่าจะสักยี่สิบได้ คุณนึกออกมั้ยครับ เหมือนรถเรากำลังลากอะไรหลาย ๆ ตันน่ะครับ เหมือนเราก็ได้อ่ะ เหมือนเรากำลังลากอะไรหนัก ๆ แล้วตัวเราเคลื่อนที่ไปได้อย่างเชื่องช้ามาก ๆ ครับ รถของผมเป็นอย่างนั้นเลย ความจริงสะพานก็แค่นี้เอง ทว่าตอนนี้ขอบสะพานฝั่งนู้นมันช่างไกลผมบิดคันเร่งรถไปด้วยความยากลำบากระคนแปลกใจ รถมอเตอร์ไซค์ของผมเคลื่อนตัวไปได้ช้ามาก พึ่งจะแตะขอบสะพานเอง พึ่งจะขับเข้ามายังไม่ถึงใจกลางสะพานด้วยซ้ำ ผมตัดสินใจมองผ่านกระจกรถ ไม่กล้าหันหลังไปมองครับ สิ่งที่ผมเห็นคือ ‘ผู้หญิงผมยาวนั่งซ้อนท้ายผมอยู่’ ขนลุกครับ
เล่าไปขนลุกไป ผมเธอปลิวไสวไปตามแรงลม ไม่เห็นหน้าตามันมืดไปหมด เห็นแขนข้างซ้ายเพราะผมมองกระจกซ้าย เสื้อแขนสั้นไม่เห็นลายเสื้อเพราะมันมืดไปหมด เห็นแค่ช่วงลำตัวไม่เห็นขาโชคดีที่เธอไม่ได้สบตากับผมผ่านกระจก หากแต่เธอเมินหน้าหนี เหมือนคนเหม่อมองออกไปไกล ๆ ครับ ไม่ยอมสบตากับผมที่กระจกมองหลัง พอผมเห็นดังนั้นแล้ว ผมก็เลิกมอง แอบปรายตามองก็ยังเห็นเธอนั่งซ้อนอยู่ด้านหลังคันเร่งรถบิดได้เท่าไหร่ผมบิดจนมิดครับ แต่รถก็ยังเคลื่อนตัวได้ช้าเท่าเดิม กินเวลานานมาก! ผมกลัวมาก จนตอนนี้ก็ยังไม่พ้นสะพานเลย ผมกลัว! กลัวจนร้องไห้ ยอมรับครับว่าทั้งบิดคันเร่งรถทั้งร้องไห้น้ำตาไหล นึกถึงพ่อแม่ปู่ย่าตายาย ตาทวดที่เสียไป
ยายทวดที่ยังมีชีวิตอยู่ให้มาช่วยผม ให้ไล่เธอลงไปจากรถผม แต่เธอก็ไม่ยอมลงสักทีครับ เธอซ้อนท้ายผมนั่งนิ่งไม่ไหวติง ปรากฏตัวให้ผมเห็นเพียงซีกซ้าย ที่จริงหากผมมองกระจกฝั่งขวาก็อาจจะเห็นซีกขวาด้วย แต่ผมไม่กล้ามองแล้ว ผมบิดรถไปด้วย ร้องไห้ไปด้วย เธอก็ไม่ยอมไป และ ผมก็ไม่ยอมทิ้งรถวิ่งด้วย ตอนนี้เวลานี้มีเพียงรถของผมคันเดียวเท่านั้น! รอบ ๆ ข้างเป็นทุ่งนามันมืดไปหมด โอ้ยขนลุกครับ! ยิ่งนึกยิ่งเล่าก็ยิ่งขนลุก รถของผมเคลื่อนตัวเข้าหมู่บ้านของผมอย่างเชื่องช้า ผ่านบ้านหลังที่สองหลังที่สามไปหล่อนก็ยังไม่หายไป จนมาถึงสี่แยกใหญ่ของหมู่บ้านผม จู่ ๆ หล่อนก็หายไปเสียดื้อ ๆ ครับ รถของผมเบาหวิวลอยพุ่งไปอย่างเร็ว เพราะผมบิดจนมิดคันเร่ง
โชคดีที่เป็นทางตรง ไม่อย่างนั้นผมอาจพุ่งชนอะไรตายก็ได้คุณเชื่อไหมว่าหมู่บ้านติดกันแค่นี้ผมใช้เวลาครับรถหนึ่งชั่วโมงเต็ม ๆ ครับ ผมดูเวลาว่าผมออกมาจากงานหมอลำเที่ยงคืน ผมมาถึงบ้านของผมเกือบตีหนึ่งครับ ผมยอมรับ ณ ตอนนั้นเลยว่าผมกลัวมาก เข็ด! จะไม่กลับคนเดียวแบบนี้อีกต่อไปเด็ดขาดมาถึงบ้านผมรีบเคาะประตูเรียกยายมาเปิดประตูให้ ผมกลัวจับใจอยากเล่าให้ยายฟัง แต่กลัวยายด่าว่ากลับมาดึก ๆ ดื่น ๆ คนเดียว ผมจึงไม่ยอมเล่า แต่ตอนนั้นผมขวัญหนีดีฝ่อแล้วครับ นอนไม่หลับ ข่มตายังไงก็ไม่หลับ ปิดเปลือกตาลงเห็นแต่หน้าเธอคนนั้นที่นั่งซ้อนท้ายผม แทนที่จะเป็นหวานใจของผมด้วยความง่วงของร่างกายและสมอง ทำให้ผมหลับไปโดยไม่รู้ตัว หลับไปนานเท่าไหร่ไม่รู้มารู้สึกตัวเพราะแม่กับพ่อและยายและน้องชายเข้ามาปลุกในห้องนอนผมครับ
พ่อผมงัดประตูห้องเลย ดีที่เป็นกลอนลูกบิดงัดง่าย แม่ผมเล่าว่าได้ยินผมนอนครางเสียง ฟังดี ๆ เหมือนนอนร้องไห้ แม่จึงปลุกพ่อให้ตื่นมาดูผม เสียงเคาะประตูห้องทำให้ยายกับน้องชายของผมตื่นด้วย เคาะเท่าไหร่ผมก็ไม่ตื่นไม่ยอมมาเปิดประตูห้องให้ แถมยังร้องไห้เสียงดังไม่หยุดด้วย พ่อจึงงัดประตูห้องเข้ามา ทุกคนปลุกผมให้ตื่นแล้วถามว่าเกิดอะไรขึ้นเรื่องมาถึงขนาดนี้แล้วผมจึงยอมเล่าให้ทุกคนฟัง ตอนนี้ตีสามกว่า ๆ แล้ว ยายไม่ให้ผมหลับต่อเลยครับ ยายบอกว่าถึงตอนฟ้าสางให้ไปวัดหาหลวงตาเลย…
เรื่องราวของผมก็มีเพียงเท่านี้ ครั้งแรกที่ผมเจอผีตัวเป็น ๆ เลย มันยิ่งเป็นหลักฐานทำให้ผมเชื่อเรื่องที่คนอื่นเล่ามาว่า ของแบบนี้มีอยู่จริง ผมไม่เคยเจอเลยตั้งแต่เกิดมา จนวันนั้นแหละ ครั้งแรกและครั้งเดียวของผม อีกอย่างผมก็ไม่กล้าผ่านทางนั้นคนเดียวดึก ๆ ด้วยครับผมเข็ดมาก! ผมเคยได้ยินว่าหากเราเจอผีแล้ว เราก็จะเจอเสมอ อันนี้ไม่รู้จริงไหม ทว่าหลังจากครั้งนั้นผมก็ไม่เจออะไรอีกเลยนะครับ และอีกอย่างผมก็ไม่เทียวทางนั้นดึก ๆ คนเดียวด้วย เรื่องของผมถูกเล่ากระจายกันในหมู่บ้าน ทวดบอกว่าไม่มีใครไปจมน้ำตายที่สะพานตรงนั้น ตั้งแต่สมัยทำสะพานใหม่ ๆ ก็ไม่มีใครตายที่นั่น น่าจะเป็นผีไร่ผีนาแถวนั้นแหละ เช้าวันใหม่มาผมนี่โดนบ่นหูชาเลยครับ ข้อหากลับบ้านดึก ๆ ดื่น ๆ คนเดียวผมเชื่อสนิทใจว่าผีมีจริง เพราะผมเจอมากับตา ผมไม่อาจไปยัดเยียดความเชื่อให้กับใครได้ หากไม่ได้เห็นกับตาก็ยากที่จะเชื่อ ทว่าตัวของผมเอง ‘เชื่อครับ’ ว่าพวกเขามีอยู่จริง