นายกฯ สั่ง ก.ยุติธรรม พิจารณา 3 ข้อ ปรับปรุงหลักเกณฑ์การอภัยโทษ
นายกฯ สั่ง ก.ยุติธรรม พิจารณา 3 ข้อ ปรับปรุงหลักเกณฑ์การอภัยโทษ
พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นรม. และ รมว.กห. มีข้อสั่งการเกี่ยวกับข้อเสนอแนะของคณะกรรมการตรวจสอบการดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการอภัยโทษ
ตามที่นายกรัฐมนตรีมีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 337/2564 ลงวันที่ 16 ธ.ค. 64 แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการอภัยโทษ (คณะกรรมการ) ขึ้น เพื่อตรวจสอบการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวและเสนอแนะแนวทางการดำเนินการที่เหมาะสมนั้น
คณะกรรมการได้รายงานผลการตรวจสอบและมีข้อเสนอแนะต่อนายกรัฐมนตรี สรุปความได้ว่า การขอพระราชทานอภัยโทษทุกครั้งที่ผ่านมาดำเนินการตามแนวทางเดียวกัน พร้อมมีข้อเสนอแนะให้หน่วยงานที่รับผิดชอบ
นายกฯ พิจารณาแล้ว มีข้อสั่งการให้กระทรวงยุติธรรมรับข้อเสนอแนะของคณะกรรมการไปพิจารณาดำเนินการให้เป็นรูปธรรมโดยเร็ว เพื่อให้การขอพระราชทานอภัยโทษในวโรกาสสำคัญที่จะมีขึ้นต่อไป เป็นไปโดยปราศจากข้อห่วงกังวลของสาธารณชน และได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงยุติธรรมพิจารณาเพิ่มเติมในประเด็นดังต่อไปนี้
1. ผู้อยู่ในข่ายจะได้รับการเสนอชื่อเพื่อขอรับพระราชทานอภัยโทษ ควรต้องให้ความสำคัญแก่ทัศนคติหรือความสำนึกผิดชอบชั่วดีในความผิดที่ตนได้กระทำลง และการกระตือรือร้นเต็มใจจะกลับตนเป็นพลเมืองดีของสังคมมากกว่าการเป็นผู้มีความประพฤติเรียบร้อยหรือไม่ก่อความวุ่นวายในระหว่างต้องโทษ ซึ่งโดยปกติผู้ต้องโทษต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้สำหรับผู้ต้องโทษอยู่แล้ว จะต้องพิจารณาเป็นรายกรณีไป และบุคคลดังกล่าวควรต้องรับโทษตามคำพิพากษาอันถึงที่สุดมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 และสัดส่วนการลดโทษนั้น ควรเสนอลดโทษไม่เกิน 1 ใน 4 เพื่อให้การลงโทษอาญาแก่ผู้กระทำความผิดเป็นไปตามเจตนารมณ์ของหลักการลงโทษอาญาที่เป็นสากล และเพื่อรักษาความปลอดภัยของสังคม
2. ปรับปรุงกระบวนการจัดชั้นและเลื่อนชั้นนักโทษ การตรวจสอบรายชื่อ รวมทั้งพฤติกรรมที่แสดงให้เห็นถึงความสำนึกผิดชอบชั่วดีของผู้จะเสนอชื่อ เพื่อรับพระราชทานอภัยโทษ โดยให้พนักงานอัยการหรือศาลเข้ามามีส่วนร่วมในการประเมินพฤติกรรมและให้ความเห็นประกอบด้วย
3. ให้กระทรวงยุติธรรม/กรมราชทัณฑ์ นำเสนอแนวปฏิบัติ/ปรับปรุงกฎระเบียบตามข้อ 1, 2 นำเสนอให้ นายกรัฐมนตรี/คณะรัฐมนตรี ทราบโดยเร็วที่สุด ให้มีความพร้อมดำเนินการ อย่างมีประสิทธิภาพ รัดกุม รอบคอบ และโปร่งใส เพื่อไม่ให้เกิดเป็นข้อวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นในสังคมเหมือนอย่างที่ผ่านมาเป็นอันขาด