แฉพฤติกรรมเน่าเฟะ!! หนึ่งในกรรมการสภาม.ดังลุ่มน้ำโขง งัดพวกตัวเองสานต่อปิดบังความผิด ซ้ำส่อในทางอื้อฉาวหลายครั้ง!!
จากรายงานฉบับที่แล้ว ทีมงานข่าวได้กล่าวถึงด้านธรรมาภิบาลของบุคคลที่เป็นกรรมการสภามหาวิทยาลัยประเภทตัวแทนคณาจารย์ แต่ฉบับนี้เราจะกล่าวถึงกรรมการท่านต่อไป ในกรณีที่การนำทรัพย์สินทางราชการไปใช้ส่วนตัวและมีพฤติกรรมที่แบ่งชนชั้นวรรณะในยุคที่เคยเป็นผู้บริหารหน่วยงาน
ซึ่งบุคคลที่เรากำลังจะกล่าวถึงเป็นบุคคลอยู่ในสถานะข้าราชการในสถาบันอุดมศึกษา อดีตคณบดีวิทยาลัยวิทยาลัย มหาวิทยาลัยฯ ในขณะที่ดำรงตำแหน่งเป็นคณบดีวิทยาลัยฯ มีพฤติกรรมก้าวร้าวและเคยถูกตั้งกรรมการสอบวินัยที่ทำตัวไม่เหมาะสมในฐานะคณบดีสั่งให้นักศึกษาหยุดการเรียนการสอนและไปร่วมประท้วงไล่สภามหาวิทยาลัย ต่อมามหาวิทยาลัยได้แต่งตั้งกรรมการสอบวินัยและมีความผิดในกรณีทำให้มหาวิทยาลัยฯเสื่อมเสียชื่อเสียงตามระเบียบมหาวิทยาลัย และมักจะแสดงพฤติกรรมส่วนตัวที่ชอบแสดงอำนาจกดขี่ข่มเหงบุคลากรแบ่งชั้นวรรณะ เช่น การจัดแบ่งภาระงานระหว่างข้าราชการและพนักงานไม่เท่าเทียมกัน โดยจะกำหนดภาระงานให้คณาจารย์ที่เป็นพนักงานมหาวิทยาลัยให้มีภาระงานมากกว่าข้าราชการ 50% โดยมีเหตุผลว่า “พนักงานมหาวิทยาลัยได้เงินเดือนมากกว่าข้าราชการก็ต้องทำงานมากกว่า” ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าการกระทำดังกล่าวมีพฤติกรรมที่สร้างความแตกแยกแบ่งชนชั้นวรรณะอย่างชัดเจน และใช้อำนาจของตนเองอนุมัติให้ตนเองไปเรียนต่อโดยใช้ทุนของมหาวิทยาลัยซึ่งผิดหลักธรรมาภิบาล และรวมถึงการใช้งบประมาณโดยปราศจากหลักฐานในการใช้จ่ายตลอดเวลา 10 กว่าปี จนกระทั่งวิทยาลัยไม่สามารถเคลียร์บัญชีให้เป็นปัจจุบันได้ และทางมหาวิทยาลัยได้รวบรวมนักการเงินการบัญชีทั่วทั้งมหาวิทยาลัยมาช่วยกันแก้ปัญหา
การสร้างความแตกแยกของบุคลากรและการบริหารงานที่ขาดหลักธรรมาภิบาล จนเป็นเหตุให้เกิดความไม่พอใจของบุคลากรในวิทยาลัยฯ ได้มีข้อร้องเรียนไปยังมหาวิทยาลัยในกรณีที่กรรมการสภามหาวิทยาลัยท่านนี้อักษรย่อ "พ" ใช้อำนาจในฐานะคณบดีนำจักรยานเอนปั่นไปใช้ที่บ้านพัก ซึ่งต่อมามหาวิทยาลัยฯได้แต่งตั้งดำเนินสอบสวนข้อเท็จจริง สอบสวนทางวินัยอย่างร้ายแรง และทางมหาวิทยาลัยฯ ได้สั่งพักราชการบุคลากรท่านนี้เป็นลำดับ เมื่อมหาวิทยาลัยฯนำผลการสอบสวนทางวินัยอย่างร้ายแรงให้คณะกรรมการบริหารงานบุคคล (ก.บ.ม.) พิจารณาผลการสอบสวนทางวินัยอย่างร้ายแรงตามข้อบังคับมหาวิทยาลัยฯ ผลการพิจารณาของคณะกรรมการบริหารงานบุคคลได้มีมติให้ “ปลด” บุคลากรท่านนี้ออกจากราชการต่อมามีการขออุทธรณ์ต่อคณะกรรมการอุทธรณ์ร้องทุกข์ (ก.อ.ร) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ผลการอุทธรณ์ให้บุคลากรท่านนี้กลับมารับราชการดังเดิม โดยเพียงเหตุที่ว่า “คณะกรรมการท่านหนึ่งถูกนาง"พ"ไปแจ้งความดำเนินคดีกรณีแต่งกายเลียนแบบข้าราชการระดับ 9 โดยที่คณะกรรมการ ก.อ.ร. ไม่ได้พิจารณาพฤติการณ์หรือการกระทำที่ถูกกล่าวหาแม้แต่อย่างน้อย” ซึ่งจะเห็นได้ว่าพิจารณาไม่ตรงประเด็นและประเด็นที่พิจารณาไม่ได้มีเหตุผลที่เกี่ยวข้องกับการสอบสวนฯแต่อย่างใด
ต่อมาคณะบุคคลปฎิบัติหน้าที่แทนนายกและกรรมการสภามหาวิทยาลัยฯ ก็ได้แต่งตั้งคณะกรรมการชุดหนึ่งขึ้นมาเพื่อมาฟอกความผิด ถือได้การกระทำของคณะบุคคลปฎิบัติหน้าที่แทนนายกสภาฯและกรรมการสภามหาวิทยาลัยเข้าข่ายละเว้นการปฎิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157 ซึ่งประเด็นดังกล่าวกำลังอยู่ในขั้นตอนของ ปปช. พิจารณาต่อไป
อนึ่ง การนำเครื่องออกกำลังกายไปใช้ส่วนตัวที่บ้านพักเป็นการนำทรัพย์สินทางราชการไปใช้ส่วนตัวนั้น มีหลายกรณีที่ได้มีการลงโทษไล่ออกจากราชการ จำคุก หรือทั้งจำทั้งปรับ ได้แก่ กรณีที่อดีตคณบดีคณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาลได้นำรถยนต์และวัสดุราชการไปใช้ในงานแต่งลูกสาว โทษจำคุกให้รอลงอาญา 2 ปี และมีอีกหลายๆกรณีในการนำของหลวงไปใช้ส่วนตัวล้วนแต่มีความผิดทั้งวินัยและอาญา ตามแนวคำพิพากษา คดีหมายเลขดำ อ.2117/2558
ล่าสุด การกระทำที่ส่งผลให้องค์กรมีภาพลักษณ์ที่เสื่อมเสียแก่สายตายของผู้ทรงคุณวุฒิสภามหาวิทยาลัยฯ เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2564 (วันพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัย) กรรมการสภาประเภทผู้แทนคณาจารย์(ข้าราชการ) ท่านนี้ได้แสดงท่าทางอาการกริยากับนายกสภาในเชิงชู้สาว กล่าวคือ แสดงอาการนั่งใกล้ชิดชนิดตัวติดกัน(ภาษาวัยรุ่นใช้คำว่า “เข้าสิงกัน”) ในห้องรับรอง ซึ่งในห้องนั้นมีกรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงเกียรติ นายทหาร นายตำรวราชสำนักนั่งอยู่ด้วย แต่ก็กระทำการโดยไม่เกรงใจสายตาผู้ทรงคุณวุฒิของสภาแต่อย่างใดจนคณาจารย์ พนักงานมหาวิทยาลัยที่พบเห็นรับกับภาพที่เกิดขึ้นไม่ได้ อาจจะด้วยที่ทราบว่านายกสภามหาวิทยาลัยแห่งนี้มีพฤติกรรมชอบหญิงสาว ดังจะเสนอเรื่องราวในฉบับถัดไป