ทำไมพระสมัยพุทธกาลถึงไม่โกนคิ้ว?
ทำไมพระสมัยพุทธกาลไม่โกนคิ้ว?
ที่พระสมัยพุทธกาลไม่โกนคิ้ว เพราะคิ้วมันไม่จำเป็นต้องโกน สังเกตได้เลยสิ่งที่พระพุทธเจ้าให้ปลงทิ้งไป เช่น ผม หนวด เครา เล็บ สิ่งเหล่านี้ถ้าไม่ดูแลเฉกเช่นฆราวาสล้วนทำให้รูปลักษณ์ภายนอกดูไม่ดีดูโทรมดูสกปรกทั้งสิ้น ใครมาเห็นก็ไม่อยากเข้าใกล้
ผม - ไว้ยาวก็ดูซกมกรุงรัง เป็นที่มาของรังแคและเหา
หนวดเครา - ไว้ยาวก็ดูซกมกรุงรัง จะกินจะฉันอะไรก็เปรอะเปื้อนปากไปหมด
เล็บ - ไว้ยาวก็ดูสกปรก ทั้งยังเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค
วิธีการบรรพชานั้น พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ว่า
ปฐมํ เกสมสฺสุํ โอหาราเปตฺวา กาสายานิ วตฺถานิ อจฺฉาทาเปตฺวา เอกํสํ อุตฺตราสงฺคํ การาเปตฺวา ภิกฺขูนํ ปาเท วนฺทาเปตฺวา อุกฺกุฏิกํ นิสีทาเปตฺวา อญฺชลึ ปคฺคณฺหาเปตฺวา ฯเปฯ
แปลว่า ในเบื้องต้น พึงให้ผู้มุ่งบรรพชาปลงผมและหนวด ให้ครองผ้ากาสายะ ให้ห่มผ้าเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ให้กราบเท้าภิกษุทั้งหลาย ให้นั่งกระโหย่ง ให้ประนมมือ ฯลฯ (วิ.มหา.๔/๓๔/๓๖ ปัพพัชชูปสัมปทากถา)
สังเกตได้ว่า มีแต่ตรัสว่าให้ปลงผมและหนวด ไม่มีการตรัสว่าให้ปลงคิ้ว ดังนั้น ในเมื่อตอนจะบวชก็ไม่ได้ให้โกน ฉะนั้น ถึงบวชมาแล้วก็ไม่จำเป็นต้องโกนเช่นกัน
(คิ้วนั้นต่างจากผมและหนวดตรงที่จะกี่ปีมันก็ไม่ยาวขึ้นกว่าเดิม ต่างจากผมและหนวดที่ถ้าปล่อยไว้ก็จะกลายเป็นคนผมยาวและหนวดเคราครึ้มสกปรกได้)
นอกจากนี้ พระพุทธเจ้ายังไม่อนุญาตให้ผู้ที่ไม่มีขนคิ้วบวชด้วย โดยมีหลักฐานดังนี้
สมฺพทฺธภมุโก วา นิลฺโลมภมุโก วา มกฺกฏภมุโก วา ฯเปฯ สพฺโพปิ ปริสทูสโก. เอวรูโป ปริสทูสโก น ปพฺพาเชตพฺโพ
แปลว่า ผู้ที่มีคิ้วทั้งสองข้างเนื่องติดกัน ผู้ที่ไม่มีขนคิ้ว ผู้ที่มีคิ้วเหมือนคิ้วลิง ฯลฯ บุคคลแม้ทั้งหมดนี้ชื่อว่า ผู้ประทุษร้ายบริษัท (หมายถึง ทำให้หมู่พระภิกษุดูไม่งดงาม) ผู้ประทุษร้ายบริษัทเช่นนี้ ไม่พึงให้บรรพชา
(วิ.อฏฺ.๓/๙๗-๙ หัตถัจฉินนาทิวัตถุกถา)
ที่เรียกว่า ผู้ไม่มีขนคิ้ว นี้ เข้าใจว่า หมายถึง ผู้ที่ไม่มีขนคิ้วจริงๆ ตั้งแต่เกิด ส่วนคนที่มีคิ้วดกเหมือนลิงหรือผู้ที่มีหัวคิ้วชนกัน ที่พระพุทธเจ้าไม่ให้บวชเพราะจะทำให้หมู่พระภิกษุดูเสียภาพลักษณ์ที่ดูดีดูสะอาดตา กล่าวง่ายๆ คือ ผู้ที่จะบวชขนคิ้วจะต้องไม่ดูรกหน้ารกตาอันจะทำให้บุคลิกเสีย
มีอรรถกถาอธิบายว่าควรจะโกนคิ้ว โกนหนวดที่น่าเกลียดออก (สมันตปาสาทิกา)
อรรถกถากล่าวว่า
- วินิจฉัยในข้อ น ภิกฺขเว ปลิตํ คาหาเปตพฺพํ นี้ พึงทราบดังนี้ :- ขนใดขึ้นที่คิ้ว หรือที่หน้าผาก หรือที่ดงหนวด เป็นของน่าเกลียด ขนเช่นนั้นก็ตาม จะหงอกก็ตาม ไม่หงอกก็ตาม สมควรถอนเสีย)
ตรงนี้คงมีคนไปตีความผิดว่าให้โกนคิ้วให้หมด แต่ใจความหลัก คือ ขนคิ้วถ้ามันขึ้นแล้วดูน่าเกลียดดูไม่ดี ก็ควรโกนออกเสีย บางคนคิ้วดกเข้มดูรกหน้าอย่างกับยักษ์ก็ควรโกน บางคนคิ้วหงอกหางคิ้วยาวเหมือนจอมยุทธ์เฒ่าหนังจีนก็ควรโกนออก ไม่ใช่ให้โกนทิ้งทุกคน
ศาสนาพุทธในไทยไม่ใช่พุทธเถรวาทดั้งเดิม เพราะถ้าเป็นเถรวาทดั้งเดิมจริงๆ พระไทยจะไม่โกนคิ้ว จะไม่ห่มดอง พุทธศาสนาแบบทิเบตต่างหากที่ยังดูเป็นพระแบบพุทธอินเดียจริงๆ อย่างน้อยก็ยุคพระเจ้าอโศกกับพระเจ้ากนิษกะที่นับถือพุทธนิกายหินยานสรวาสติวาท















