“ฮิตเลอร์” ฆ่าตัวตายจริง? หรือ หนีไป ??
30 เมษายน 1945: “ฮิตเลอร์” ฆ่าตัวตายจริง? หรือ หนีไป
วันที่ 30 เมษายน 1945 คือวันที่นักประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ยอมรับกันว่าเป็นวันที่ “อดอล์ฟ ฮิตเลอร์” ผู้นำนาซีเยอรมันผู้ยิ่งใหญ่ที่เกือบจะครองยุโรปได้ทั้งทวีปยอมปลิดชีพตัวเองพร้อมกับคนรัก เพื่อเลี่ยงการตกเป็นนักโทษสงครามของโซเวียต
แต่ผู้นำเยอรมนีที่เห็นการเพลี่ยงพล้ำ ของกองทัพในแนวรบรอบด้าน ก่อนพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิงเป็นเวลาพอสมควร จะไม่คิดเลยหรือว่า? ตนเองอาจไม่สามารถพลิกสถานการณ์ได้แ ละไม่ได้เตรียมลู่ทางสำหรับหลบหนี?
การเสียชีวิตของฮิตเลอร์เป็นการประกาศฝ่ายเดียวของเยอรมนีระบุว่าฮิตเลอร์ “ต่อสู้จนถึงลมหายใจสุดท้ายต่อพวกบอลเชวิก (โซเวียต)” ก่อนตั้งให้นายพลแห่งกองทัพเรือ คาร์ล โดนิตซ์ (Karl Doenitz) เป็นผู้สืบทอดอำนาจ ทำให้สื่อตะวันตกอย่างนิวยอร์กไทม์ในสมัยนั้นตั้งข้อสงสัยว่าคำประกาศของนาซีเยอรมันจะน่าเชื่อถือได้เพียงใด
“พวกนาซีโกหกสารพัด จนกลายเป็นภาคหนึ่งทางการเมืองของพวกเขา และรายงานอ้างถึง (การตายของ) ฮิตเลอร์ยิ่งเพิ่มน้ำหนักเป็นเท่าตัวให้กับหลายคนที่ตั้งข้อสงสัยซึ่งเป็นที่แพร่หลายอยู่แล้วว่า...
ปรมาจารย์แห่งการหลอกลวง กำลังพยายามครั้งสุดท้ายในการสร้างคำโกหกครั้งใหญ่ต่อชาวโลก เพื่อที่จะรักษาชีวิตตัวเอง และอาจเตรียมที่จะกลับมาอีกครั้งในเวลาที่เหมาะสม” รายงานเรื่อง “The End of Hitler” ลงวันที่ 2 พฤษภาคม 1945 ของนิวยอร์กไทม์ระบุ
“อย่าไปเชื่อสิ่งที่พวกมันพูด จงเชื่อเมื่อคุณได้เห็นภาพของฮิตเลอร์เหมือนกับที่คุณได้เห็นภาพของมุสโสลินีเมื่อวานนี้” ชายชาวนิวยอร์กเชื้อสายอิตาเลียนกล่าวกับนิวยอร์กไทม์ อ้างถึงเบนิโต มุสโสลินี อดีตผู้นำอิตาลีพันธมิตรคนสำคัญของฮิตเลอร์ ซึ่งถูกประหารในวันที่ 28 เมษายน 1945 ก่อนหน้าการประกาศการฆ่าตัวตายของฮิตเลอร์เพียง 2 วัน
ตัวจักรสำคัญที่ทำให้คนเชื่อว่า ฮิตเลอร์ยังไม่ตายคือ “ความคลุมเครือ” เนื่องจากการประกาศมาจากเยอรมันฝ่ายเดียวโดยไม่มีหลักฐานประกอบอย่าง “รูปถ่าย” เหมือนเช่นที่ชาวนิวยอร์กรายหนึ่งเรียกหา
ประกอบกับโซเวียตเองเมื่อยึดกรุงเบอร์ลินได้ ก็ออกแถลงการณ์วกวนจากที่เคยประกาศว่า ข่าวการตายของฮิตเลอร์เป็น “กลลวงของพวกฟาสซิสต์” (รายงานของเอพี วันที่ 2 พฤษภาคม 1945 อ้างโดยนิวยอร์กไทม์)
ในวันที่ 8 พฤษภาคม ก็ประกาศว่าได้พบร่างของฮิตเลอร์แล้ว แต่พอถึงต้นเดือนมิถุนายน 1945 โซเวียตกลับออกมาตอกย้ำข่าวลือว่าฮิตเลอร์ยังไม่ตาย โดย จอมพลกอร์กี ซูคอฟ “Georgy Zhukov” ผู้นำกองทัพโซเวียตประกาศว่า
“เราไม่พบร่างที่น่าจะเป็นของฮิตเลอร์” สำทับด้วยนายพลสามดาว (Col. Gen.) นิโคไล อี. เบอร์ซาริน (Nikolai E. Berzarin) ผู้บัญชาการกองทัพโซเวียตในกรุงเบอร์ลินที่กล่าวว่า ทหารรัสเซียยังไม่พบศพของฮิตเลอร์
ก่อนเสริมว่า “เขาอาจจะอยู่ในสเปนกับฟรังโก (ผู้นำเผด็จการของสเปนในยุคนั้น) และมีความเป็นไปได้ที่เขาจะออกเดินทางหลบหนีไปแล้ว”
แต่กระทรวงการต่างประเทศของสเปนได้ออกมาปฏิเสธข้อกล่าวอ้างของเบอร์ซารินยืนยันว่า ฮิตเลอร์ รวมถึง เอวา บราวน์ (Eva Braun) ภรรยาหมาดๆ (แต่งงานวันที่ 29 เมษายน 1945 ก่อนมีการประกาศการฆ่าตัวตายของทั้งคู่ในวันถัดมา) มิได้อยู่บนแผ่นดินสเปน
และสเปนมิได้อนุญาตให้ทั้งคู่เข้าประเทศ หรือหากฮิตเลอร์ลักลอบเข้ามาได้ สเปนก็มิได้ให้ที่พักพิงแก่ฮิตเลอร์แต่อย่างใด
หลังการประกาศข่าวของฝ่ายโซเวียตยืนยันว่า ยังไม่พบศพของฮิตเลอร์และบราวน์ และทั้งคู่น่าจะหลบหนีไปได้จึงมีรายงานตามมาในช่วงกลางเดือนมิถุนายนว่ามีผู้พบเห็นทั้งคู่ในพื้นที่ต่างๆ
เช่นรายงานชิ้นหนึ่งที่อ้างว่า ฮิตเลอร์และบราวน์ได้หลบหนีไปยังอาร์เจนตินา ทำให้สำนักงานสอบสวนกลางของสหรัฐฯหรือเอฟบีไอทำการสอบสวนข้อเท็จจริงในกรณีดังกล่าว
เอกสารของเอฟบีไอได้รวบรวมปากคำของผู้ที่อ้างว่าพบเห็นฮิตเลอร์และบราวน์หลังหลบหนีออกจากเยอรมนี ซึ่งกลายมาเป็นหนึ่งในเอกสารสำคัญที่นักทฤษฎีสมคบคิดใช้อ้างเพื่อความน่าเชื่อถือของตน
อย่างไรก็ดี คำประกาศของฝ่ายโซเวียตถูกพบในภายหลังว่าน่าจะเป็นความพยายามที่จะสร้างความปั่นป่วนให้กับชาติพันธมิตรตะวันตก พร้อมสร้างปมให้เกิดความหวาดระแวงระหว่างกันว่ามีบางฝ่ายพยายามช่วยเหลือฮิตเลอร์ให้รอดพ้นจากการรับโทษในฐานะอาชญากรสงครามหรือไม่
MI5 หน่วยงานความมั่นคงของสหราชอาณาจักรระบุในบันทึกเมื่อปี 2005 ว่า การประกาศในเดือนมิถุนายน 1945 ของโซเวียตว่าไม่พบร่างของฮิตเลอร์เป็นข้อมูลเท็จ โดยอ้างจากบทสรุปของนักประวัติศาสตร์ฮิวจ์ เทรเวอร์-โรเปอร์ (Hugh Trevor-Roper) เจ้าหน้าที่ข่าวกรองของอังกฤษในช่วงสงคราม ผู้เขียนหนังสือวันสุดท้ายของฮิตเลอร์ (The Last Days of Hitler) เผยแพร่ครั้งแรกในปี 1947
เป็นหนังสือที่รวบรวมปากคำของพยานและหลักฐานแวดล้อมยืนยันว่าฮิตเลอร์เสียชีวิตในวันที่ 30 เมษายน 1945 ด้วยการยิงตัวตาย ส่วนบราวน์ดื่มยาพิษตาย ก่อนถูกนำร่างไปเผาทำลาย ซึ่งถือเป็นบันทึกเหตุการณ์การเสียชีวิตของฮิตเลอร์ที่ได้รับการความน่าเชื่อถือมากที่สุด
แต่ด้วยเหตุที่ฝ่ายตะวันตกและ เทรเวอร์-โรเปอร์ ไม่มีหลักฐานทางกายภาพอย่างเช่นซากศพของฮิตเลอร์และบราวน์อยู่ในมือทำให้หลายคนยังคงไม่เชื่อว่า ฮิตเลอร์ตายไปแล้ว ทฤษฎีสมคบคิดอย่างการหนีไปอเมริกาใต้จึงยังมีคนรับฟังอยู่บ้าง
บางทฤษฎีเสนอว่าฮิตเลอร์อาจไปสร้างฐานทัพลับในทวีปแอนตาร์กติกาที่ไร้ผู้คนเพื่อรอวันล้างแค้น โดยอ้างว่านาซีได้ไปสำรวจทวีปแอนตาร์กติกาตั้งแต่ก่อนเริ่มสงคราม
บางคนไปไกลถึงขนาดอ้างว่า ฮิตเลอร์อาศัยเทคโนโลยีอันล้ำสมัยของนาซีหลบหนีไปสร้างฐานทัพบนดวงจันทร์แถมอ้างว่าจานผีที่ถูกร่ำลือว่าตกลงที่รอสเวลล์เมื่อปี 1947 ไม่นานหลังสิ้นสุดสงคราม แท้จริงอาจเป็นยานบินเทคโนโลยีล้ำยุคของนาซี!
หลังสิ้นยุคสตาลิน โซเวียตได้ออกมายืนยันว่าพบร่างของฮิตเลอร์และบราวน์จริง โดยอเล็กซานโดรวิช เบซิเมนส์กี (Aleksandrovich Bezymensky) นักประวัติศาสตร์และอดีตเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองของโซเวียต ได้เผยรายงานเมื่อปี 1968 ระบุว่า ...ซากศพที่ถูกพบแม้จะถูกเผาทำลายแต่ทีมพิสูจน์หลักฐานของโซเวียตสามารถยืนยันอัตลักษณ์ของทั้งคู่ได้ในวันที่ 8 พฤษภาคม 1945
โดยอาศัยกระดูกขากรรไกรที่หลงเหลืออยู่ เทียบกับประวัติการทำฟันของทั้งฮิตเลอร์และบราวน์ ซึ่งรายงานของโซเวียตระบุว่าเป็นเครื่องยืนยันอัตลักษณ์ของทั้งคู่ได้อย่างสิ้นสงสัย ทำให้บันทึกของเทรเวอร์-โรเปอร์น่าเชื่อถือในส่วนที่ระบุว่า “ฮิตเลอร์” และบราวน์ เสียชีวิตแล้วและร่างของทั้งคู่ถูกเผาทำลาย
อย่างไรก็ดี ขณะที่เทรเวอร์-โรเปอร์ อ้างว่าฮิตเลอร์ยิงตัวตาย ส่วนบราวน์ดื่มยาพิษตาย แต่รายงานของเบซิเมนส์กีกลับระบุว่า ผลการชัญสูตรศพของฮิตเลอร์และบราวน์ยืนยันว่าทั้งคู่เสียชีวิตจากพิษของไซยาไนด์
ความไม่ลงรอยของการบันทึกจากฝ่ายตะวันตก และโซเวียต ทำให้ทฤษฎีสมคบคิดที่เชื่อกันว่า “ฮิตเลอร์ยังไม่ตาย” ยังมีผู้คนจำนวนมากยอมรับฟัง แม้ว่าบันทึกของทั้งสองฝ่ายจะต่างกันเพียงในรายละเอียดเท่านั้นว่า ทั้งคู่ตายอย่างไร
หลังจากที่รัสเซียนำชิ้นส่วนกระโหลกศรีษะ ซึ่งมีร่องรอยถูกยิงและเชื่อกันว่าเป็นของฮิตเลอ ร์ออกจัดแสดงเป็นครั้งแรกในปี 2000 นักวิจัยอเมริกันนิก เบลลานโตนี (Nick Bellantoni) จากมหาวิทยาลัยคอนเนตติกัต (University of Connecticut) ได้ออกมาอ้างในปี 2009 ว่า ....
เขาและคณะได้ทำการวิเคราะห์ดีเอ็นเอจากกระโหลกศรีษะดังกล่าวยืนยันว่า กระโหลกชิ้นนี้เป็นของผู้หญิงและน่าจะมีวัยต่ำกว่า 40 ปี แต่ฮิตเลอร์มีอายุถึง 56 ปี เข้าไปแล้ว เมื่อนับถึงเดือนเมษายน 1945 ที่เชื่อกันว่าเป็นเดือนสุดท้ายในชีวิตของเขา และหากจะบอกว่าเป็นกระโหลกของบราวน์ก็ไม่ตรงกับบันทึกประวัติศาสตร์ที่ระบุว่าเธอดื่มยาพิษตายไม่ได้ยิงตัวตาย
ข้อสงสัยดังกล่าวทำให้ทฤษฎีสมคบคิดที่เชื่อกันว่าฮิตเลอร์ไม่ได้ฆ่าตัวตายกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ในปี 2011 สองนักเขียนชาวอังกฤษ เจอร์ราร์ด วิลเลียมส์ และซิมอน ดันส์แตน (Gerrard Williams and Simon Dunstan) ได้ออกหนังสือชื่อว่า “หมาป่าสีเทา: การหลบหนีของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์” (Grey Wolf: The Escape of Adolf Hitler) อาศัยปากคำของชาวบ้าน และ คำรำลือที่มีมาตั้งแต่สิ้นสุดสงครามใหม่ๆ อ้างว่า ....
ก่อนที่นาซีเยอรมันจะถูกพิชิต ฮิตเลอร์และบราวน์ได้นั่งเครื่องบินหนีไปยังเดนมาร์ก ก่อนข้ามไปยังสเปน ซึ่งฟรังโกได้ช่วยเหลือด้วยการจัดหาเครื่องบินให้ผู้นำนาซีบินต่อไปยังหมู่เกาะคานารี (Canary Islands, หมู่เกาะในปกครองของสเปนตั้งอยู่ทางตอนใต้ของชายฝั่งโมร็อกโก)
ก่อนนั่งเรือดำน้ำไปขึ้นฝั่งที่อาร์เจนตินาและได้ใช้ชีวิตร่วมกับภรรยาเป็นเวลา 17 ปี มีลูกด้วยกันสองคน ก่อนเสียชีวิตในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 1962
แต่ข้ออ้างของทั้งสองก็ยังไม่ได้รับการยอมรับจากนักประวัติศาสตร์กระแสหลัก ต่อมาทั้งคู่ยังถูกกล่าวหาในปี 2013 ว่า งานของพวกเขาลอกมาจากงานของนักข่าวชาวอาร์เจนตินา อาเบล บาสตี (Abel Basti) ซึ่งให้ความช่วยเหลือแก่นักเขียนชาวอังกฤษ ขณะเดินทางไปเก็บข้อมูลในอาร์เจนตินา และอ้างว่าเป็นผู้แนะนำพยานคนสำคัญให้กับนักเขียนชาวอังกฤษ แต่วิลเลียมส์ได้ออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว
เมื่อต้นปี 2014 เดลีเมล์รายงานว่า นักเขียนชาวบราซิล ซิโมนี เรเน เกร์เรโร ดิอาซ (Simoni Renee Guerreiro Dias) ได้อ้างในหนังสือของเธอ “ฮิตเลอร์ในบราซิล – ชีวิตและความตาย” (Hitler in Brazil – His Life and His Death) ว่า ....
เส้นทางการหลบหนีของฮิตเลอร์ ไม่ได้สิ้นสุดที่อาร์เจนตินา แต่เขายังได้เดินทางไปยังปารากวัยก่อนเข้าไปใช้ชีวิตอย่างสงบสุขในบราซิล พร้อมกับมีภรรยาใหม่เป็นหญิงสาวผิวดำเพื่อปกปิดสถานะความเป็นพวกเชื้อชาตินิยมอารยัน ก่อนเสียชีวิตลงเมื่อปี 1984 ในเมืองเล็กๆ ชายแดนบราซิล-โบลีเวีย
โดยมีหลักฐานชิ้นสำคัญเป็นภาพถ่ายอันเลือนลางจนมองไม่เห็นหน้าของฝ่ายชายที่ถูกอ้างว่าเป็นฮิตเลอร์กับหญิงสาวผิวดำ ซึ่งทฤษฎีดังกล่าวก็มิได้รับความยอมรับจากนักประวัติศาสตร์กระแสหลักเช่นกัน
ต้นตอของข่าวลือทั้งหมดเห็นได้ว่ามีจุดเชื่อมโยงสำคัญที่โซเวียต-รัสเซีย ที่ในยุคสตาลินพยายามปกปิดหลักฐานการพบร่างของฮิตเลอร์และรายงานการชันสูตรศพ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอันใด ก่อนออกมายืนยันในภายหลังว่าฝ่ายตนเป็นผู้ค้นพบร่างของฮิตเลอร์จริง
แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้ข่าวลือนอกกระแสหายไปโดยสิ้นเชิง ประกอบกับหลักฐานที่เคยเชื่อว่าเป็นกระโหลกของฮิตเลอร์ถูกหักล้างด้วยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ทำให้บางคนยังเชื่อในทฤษฎีสมคบคิดนอกกระแส
แต่หลักฐานสำคัญที่สุดที่จะยืนยันได้ว่า ฮิตเลอร์ตายจริงในปี 1945 ยังอยู่ในมือรัสเซียนั้นก็คือ กระดูกขากรรไกรที่เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานยืนยันว่า เป็นของฮิตเลอร์จริงโดยปราศจากข้อสงสัย ซึ่งหากรัสเซียยอมให้บุคคลที่สามได้ตรวจสอบซ้ำก็คงจะช่วยลบข้อสงสัยหลายๆ อย่างได้
อ้างอิงจาก: The End of Hitler: The New York Times









