ภาพประวัติศาสตร์...การพบกันของมหาบุรุษโลก
ภาพประวัติศาสตร์...การพบกันของมหาบุรุษโลก
การเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน ในวันที่ 5 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2521 ของเติ้ง เสี่ยว ผิง นั้น นอกจากจะเป็นการพบกันของมหาบุรุษของโลกสองท่านแล้ว ยังเป็นการพบกันในวาระที่มีความหมายมาก ในช่วงที่เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญยิ่งของโลก และของภูมิภาคนี้เลยก็ว่าได้
เติ้ง เสี่ยวผิง ในเวลานั้น ถึงแม้จะไม่ได้มีตำแหน่งทางการเป็นผู้นำสูงสุดใดๆ (ตอนนั้นแค่ดำรงตำแหน่งประธานคณะที่ปรึกษาการเมืองในโปลิตบูโร) แต่เป็นที่รับรู้กันว่าทรงอิทธิพลที่สุดในประเทศจีน สามารถรวบอำนาจการเมืองไว้ได้ภายหลังที่ประธานเหมา เจ๋อ ตุง ถึงแก่อสัญกรรมเมื่อ 9 กันยายน 2519 และเติ้ง ร่วมกับหัว โก๊ะฝง สามารถกำราบ Gang of Four ที่นำโดย เจียง จิง ภรรยาม่ายของเหมาลงได้ (Gang of Four ถูกจับกุมในวันที่ 6 ตค. 2519 วันเดียวกับเหตุการณ์ขวาพิฆาตซ้ายที่ธรรมศาสตร์และสนามหลวงในประเทศไทย)
เติ้งนั้น เคยเป็นรัฐมนตรีคลังจีนตั้งแต่ ปี 2497 ต่อจากโจว เอินไหล เป็นกลุ่มผู้นำหัวก้าวหน้าที่ต้องการปฏิรูปเศรษฐกิจจีน แต่พอโจวตาย ก็เลยตกที่นั่งวิบากกรรมจาก"การปฏิวัติวัฒนธรรม"ที่นำโดยเหมาและ"คณะสี่คน" โดยเติ้งถูกปลดออกจากทุกตำแหน่ง จนกระทั่งเหมาตายจึงสามารถกลับมามีอิทธิพลได้ใหม่ และแทบจะทันทีก็ได้ยกเลิกกระบวนการ"Culture Revolution"อันโหดร้ายไปในปี 2520
ช่วงท้ายที่เหมา เจ๋อตุง ปฏิวัติวัฒนธรรมนั้น จีนมีนโยบายเผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์สู่ประเทศอื่นโดยเฉพาะ ในเอเชียอาคเนย์ ซึ่งจีนเป็นผู้สนับสนุนสำคัญของเขมรแดงจนทำให้พล พต และคณะยึดครองเขมรได้สำเร็จในเดือนเมษายน 2518 เวียตนามใต้ก็แตกในเดือนเดียวกัน และ ลาวก็ตกอยู่ใต้การปกครองของคอมมิวนิสต์ในเดือนธันวาคมปีเดียวกัน ...ซึ่งนอกจากร่วมกันสนับสนุนเผยแพร่คอมมิวนิสต์แล้ว จีนกับรัสเซียก็ยังต้องแข่งแย่งอิทธิพลกันเองในหมู่ประเทศบริวารทั้งหลาย หลังจากเริ่มไม่ลงรอยกันภายหลังการตายของสตาลิน(ยุคนั้นเป็นยุคของลีโอนิด เบรสเนฟ) ...ในช่วงนั้นทฤษฎีโดมิโนที่แพร่หลายระบุว่า ประเทศไทยน่าจะเป็นประเทศต่อไปที่จะต้องตกเป็นคอมฯ และเป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่าจีนนั้นเป็นหลักสำคัญที่ให้การสนับสนุนกับการปฏิบัติการของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยตลอดมาทั้งด้านอาวุธ กลยุทธ และการเงิน
หลังจากที่เติ้ง เสี่ยว ผิง คุมอำนาจและสร้างเสถียรภาพทางการเมืองภายในประเทศจีนได้แล้ว ในช่วง 5-14 พย. 2521 เติ้ง ก็ได้เดินทางเยี่ยมกระชับสัมพันธ์กับประเทศนอกค่ายคอมมิวนิสต์เป็นครั้งแรก โดยเลือกเยือนสามประเทศในเอเชียอาคเนย์คือ ไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ และผู้นำประเทศคนแรกที่เติ้ง เสี่ยว ผิงได้เข้าเฝ้าคือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชในวันแรกที่เดินทางถึงประเทศไทย ซึ่งหลังจากนั้นได้พบกับนายกฯพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์(ถ้าผมจำไม่ผิดนายกชวนไปบ้านปรุงแกงเนื้อใส่บรั่นดีให้เติ้งชิมด้วย) และพบกับชาวจีนในไทย โดยพักอยู่ในไทยถึงห้าวัน ก่อนไปมาเลเซียหนึ่งวัน และเยี่ยมสิงคโปร์สามวัน(ซึ่ง ลี กวน ยู อดีตนายกฯสิงคโปร์ได้บันทึกไว้ว่า ห้าชั่วโมงครึ่งที่ได้ประชุมกันนั้นเป็นการประชุมที่มีความหมายมาก)
นักประวัติศาสตร์หลายคนเชื่อว่า การเดินทางเยือนเอเชียอาคเนย์ครั้งนั้นของเติ้ง เสี่ยว ผิง ได้ก่อให้เกิดผลต่อการเปลี่ยนแปลงของจีน ของภูมิภาค และของโลกอย่างมากมาย เพราะหลังจากนั้น จีนก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดทั้งทางด้านการต่างประเทศ และทางด้านเศรษฐกิจ ...จีนเลิกให้การสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์ในประเทศต่างๆเพื่อเปลี่ยนแปลงระบอบปกครอง(และนั่นเป็นเหตุสำคัญให้สงครามคอมฯในไทยเบาบางลงจนรัฐบาลพลเอกเปรมสามารถออกนโยบาย 66/2523 เป็นอันสิ้นสุดสงครามคอมมิวนิสต์โดยสิ้นเชิงได้สำเร็จ) และในทางเศรษฐกิจ เติ้งก็ได้เริ่มนโยบายเปิดเสรี ใช้เศรษฐกิจแบบตลาด(Market Economy)เข้าทดแทนเศรษฐกิจแบบคอมมูนที่วางแผนจากส่วนกลาง(Centrally Planned Economy)ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้จีนรุ่งเรืองจนปัจจุบัน
จากการเยี่ยมเอเชียอาคเนย์ในครั้งนั้น จีนก็เปลี่ยนเป็นประเทศเปิดมากขึ้น เติ้ง เยี่ยมสหรัฐในปีต่อมา(2522) และการเมืองยุคสงครามเย็นของโลกก็เริ่มคลี่คลาย ประเทศหลังม่านเหล็กทั้งหลายเริ่มเอาอย่างจีน คือเปิดประเทศคบค้ากับตะวันตก และเปลี่ยนเป็นใช้ระบบทุนนิยมให้ตลาดนำเศรษฐกิจแทนรัฐ หันไปร่วมกระบวนการโลกาภิวัฒน์ จนยุคสงครามเย็นสิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการในปี 2534 เมื่อสหภาพโซเวียต(USSR)ล่มสลาย แตกออกเป็น12 ประเทศ
ไม่มีการบันทึก(หรือถ้าใครมี กรุณาแบ่งปันบ้างนะครับ) ว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชปฏิสันถาร กับเติ้ง เสี่ยว ผิง เรื่องอะไร อย่างไรบ้าง ในวันที่ 5 พย. 2521 แต่ประวัติศาสตร์ต้องบันทึกไว้ว่า นั่นเป็นการเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงโลกในทางที่ดีขึ้นอย่างมากมายแน่นอนครับ