ประธานทีดีอาร์ไอค้านควบบริษัททรู-ดีแทค ชี้กสทช.ยังมีเวลา สามารถห้ามได้ตามกฎหมาย ก่อนจะสายเกินไป
“ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวาณิชย์”ประธานทีดีอาร์ไอ แถลงคัดค้านควบบริษัททรู-ดีแทค ชี้กสทช.ยังมีเวลา สามารถห้ามได้ตามกฎหมาย ก่อนจะสายเกินไป
ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานมูลนิธิวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) แถลงข่าวทางออนไลน์ ให้ความคิดเห็นต่อการควบรวมกิจการระหว่างบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดีแทค ว่า สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) มีอำนาจทางกฎหมายตามมาตรา 21 ของพ.ร.บ.กสทช.อยู่แล้วที่ระบุว่า การประกอบกิจการโทรคมนาคม นอกจากต้องอยู่ในบังคับของกฎหมายว่าด้วยการแข่งขันทางการค้าแล้ว ให้คณะกรรมการกำหนดมาตรการเฉพาะตามลักษณะการประกอบกิจการโทรคมนาคมมิให้ผู้รับใบอนุญาตกระทำการอย่างใดอันเป็นการผูกขาด หรือ ลด หรือ จำกัดการแข่งขันในการให้บริการกิจการโทรคมนาคมในเรื่องดังต่อไปนี้ 1.การอุดหนุนการบริการ 2.การถือครองธุรกิจในบริการประเภทเดียวกัน 3. การใช้อำนาจทางการตลาดที่ไม่เป็นธรรม 4.พฤติกรรมกีดกันการแข่งขัน และ 5.การคุ้มครองผู้ประกอบการรายย่อย
ดังนั้น ตนมองว่าขณะนี้ยังมีเวลาเพื่อไม่ให้ทั้ง 2 บริษัทรวมกัน เพราะกว่าจะได้รวมกันต้องใช้เวลาอาจจะยาวนานถึงปีหน้า คณะกรรมการกสทช.โดยเฉพาะประธานกสทช.สามารถออกกฎหมายลูกเพื่อป้องกันการรวมบริษัทและเกิดการผูกขาดในอนาคตได้ แม้ว่าจะเป็นคณะกรรมการรักษาการแต่การเตรียมการไว้เพื่อคณะกรรมการชุดใหม่ย่อมเป็นการแสดงให้เห็นว่ากสทช.มีความจริงใจในการใช้กฎหมายกำกับดูแล หากกสทช.ไม่ทำอะไร ผู้บริโภคจะมีตัวเลือกน้อย มีอำนาจในการควบคุมผู้ให้บริการไม่ได้ ค่าบริการอาจแพงขึ้น เหมือนกรณีตัวอย่างของโรงพยาบาลที่ไม่มีการแข่งขันตัวเลือกน้อย ราคาค่าบริการจึงแพง และบริการโทรคมนาคมเป็นบริการที่จำเป็นหากไม่มีการใช้บริการประชาชนจะใช้อินเทอร์เน็ตอย่างไร
สิ่งที่ทั้ง 2 บริษัทคือ เทเลนอร์และซีพีอ้างว่าต้องการสร้างบริษัทเพื่อพัฒนานวัตกรรม ถามว่าที่ผ่านมาเรามีนวัตกรรมอะไร เราเป็นเหมือนหัวเว่ยไหม ต้องรับความท้าทายใน 20 ข้างหน้าอะไร หรือจะรวมเพื่อไปแข่งกับต่างชาติ มีไหม มีอะไรเป็นรูปธรรม ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เหตุผลของการควบรวม แต่เหตุผลเป็นเรื่องของการแข่งขัน การมีอำนาจเหนือตลาดการผูกขาดทางการตลาด และหุ้นมากกว่า สังเกตได้ว่าหุ้นทั้ง 3 ค่ายราคาขึ้นกันหมดรับข่าวการรวมบริษัท
ดังนั้น กสทช.ต้องทำหน้าที่กำกับดูแล ไม่ใช่ปล่อยให้เกิดการควบบริษัทกันแล้วมาทำอะไรภายหลัง ก็อาจจะทำอะไรไม่ได้แล้ว ส่วนอำนาจคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (กขค.) ก็มีกฎหมายการแข่งขันทางการค้าอยู่ แต่เขาก็สามาถอ้างได้ว่าให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกสทช.ดูแลก่อน แต่กขค.ก็ควรสะท้อนถึงความห่วงใยในเรื่องดังกล่าวด้วยแต่หาก กสทช.บอกว่าไม่เกี่ยวข้อง กขค.ก็มีกฎหมายในการกำกับดูแล ขณะที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) เขาไม่ได้มองเรื่องมุมผู้บริโภคหากมีกระบวนการควบบริษัทถูกตามขั้นตอนและไม่เอาเปรียบผู้ถือหุ้นรายย่อยก็สามารถรวมบริษัทกันได้
สำหรับประเด็นคำถามที่ว่า ประเทศไทยไม่เคยสามารถต่อต้านการผูกขาดในแต่ละธุรกิจได้เลยนั้น ต้องฝากถึงรัฐบาลอย่าใกล้ชิดกับนายทุนมากเกินไป เช่นการให้เงินสนับสนุนพรรคการเมือง หรือ การจัดอบรมหลักสูตรต่างๆที่มีนายทุนร่วมอบรมด้วย ทำให้เกิดความสนิทสนมกันมากเกินไป ตอนนี้เรายังเลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวาได้ หรือหากดีแทคทำธุรกิจไม่ไหวจริงๆก็สามารถขายธุรกิจให้บริษัทอื่นได้ก็จะทำให้ผู้เล่นรายใหม่มีฐานลูกค้าและสามารถแข่งขันในตลาดได้อนาคตเมื่อมีการประมูลก็จะไม่กระทบว่ามีเพียงไม่กี่ราย หรือ ไม่มีใครเข้ามาประมูลเหมือนตอนประมูล 5G ที่ต้องร้องขอกันให้เข้ามาประมูล ดังนั้นรัฐบาลสามารถมอบนโยบายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องคัดค้านเรื่องนี้ได้