เมื่อรัฐเตรียมเปิดทางต่างชาติซื้อบ้านในไทย ขายชาติ หรือ กระตุ้นเศรษฐกิจ?
สะเทือนทั่วโซเชียลกันเลยทีเดียว จากกรณีที่ครม. เห็นชอบหลักการมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนโดยการดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงสู่ประเทศไทย ในลักษณะผู้พำนักระยะยาว โดยมี 4 กลุ่มเป้าหมาย คือ กลุ่มประชากรโลกผู้มีความมั่งคั่งสูง, กลุ่มผู้เกษียณอายุจากต่างประเทศ, กลุ่มที่ต้องการทำงานจากประเทศไทย และกลุ่มผู้มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษ
โดยประกอบด้วย 2 มาตรการหลัก
1. การออกวีซ่าประเภทผู้พำนักระยะยาว (Long-term resident visa) กำหนดวีซ่าประเภทใหม่ให้กับกลุ่มของชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูง ซึ่งจะได้ข้อยกเว้นและสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ การยกเว้นให้ผู้ถือวีซ่าประเภทผู้พำนักอาศัยระยะยาว และวีซ่าประเภท Smart visa ทั้งหมดไม่ต้องมีหนังสือแจ้งให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทราบหากอยู่ในประเทศเกิน 90 วัน
2. การแก้ไขกฎหมายหรือกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง เช่น กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการถือครองที่ดิน การบริหารจัดการการทำงานและอนุญาตให้คนต่างด้าวสามารถทำงานให้นายจ้างทั้งที่อยูในและนอกราชอาณาจักรได้ การยกเว้นหลักเกณฑ์การกำหนดให้การจ้างคนต่างด้าว 1 คน ต้องจ้างงานพนักงานคนไทยทำงานประจำ 4 คน การยกเว้นภาษีประเภทต่างๆ และระเบียบวิธีปฏิบัติด้านการศุลกากร
หลังจากที่ได้มีการออกมาตรการดังกล่าว เกิดการตอบรับ ในสองทิศทาง คือมีทั้งมุมบวก และมุมลบ เริ่มที่มุมบวก ส่วนใหญ่จะมาจากฝั่งนักวิชาการ และกูรูอสังหาฯ พูดในทิศทางเดียวกันว่า หากปลดล็อกกฎหมายก็จะเพิ่มแรงดึงดูดให้ชาวต่างชาติเข้ามาซื้อคอนโดมิเนียมในไทยมากขึ้น ตลาดอสังหาฯ ก็จะมีความคึกคัก เป็นการดูดเงินมาจากต่างชาติ ถือเป็นการทดแทนกำลังซื้อจากคนไทยที่เริ่มถดถอย
ส่วนมุมลบ มีความไม่พอใจจากกลุ่มการเมืองและประชาชนทั่วไป ว่าการที่ภาครัฐปล่อยให้คนต่างชาติ ซื้อบ้าน ซื้อคอนโดได้อย่างอิสระ สุดท้ายไทยจะโดนทุนต่างชาติฮุบหรือไม่ แล้วคนไทยจากที่เคยเป็นเจ้าของประเทศ ก็จะต้องเปลี่ยนบทบาทกลายมาเป็น “ผู้เช่า” แทน โดยในโลกออนไลน์ มีการใช้คำเพื่อประณามว่า ถ้ากฎหมายนี้ลุล่วงได้สำเร็จ มันคือ “กฎหมายขายชาติ”
สำหรับกระบวนการในตอนนี้ ยังอยู่ในขั้นตอนการพิจาณาตาม พ.ร.บ.ที่มีอยู่ ทางฝั่งรัฐบาลเองก็ออกมาย้ำว่าเพื่อเป็นการอำนวยความสะดวก ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร แต่หากได้รับอนุญาตแล้วทำผิดหลักเกณฑ์ ต้องขายที่ดินภายในเวลาไม่น้อยกว่า 180 วัน หรือไม่เกิน 1 ปี ก็ต้องติดตามกันต่อไป ว่าจะเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าหรือไม่