ฉาววงการ‼️พระหนุ่มจอมขมังเวทย์ ลงนะหน้าทองเนินอกสีกาในวัดดังเชียงใหม่

ในเพจเฟชบุ๊ก ข่าวทั่วไทย ได้ออกมาแชร์เรื่องราวของวัดดังแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ใน จ. เชียงใหม่ โดยมีพระลูกวัดหนุ่มได้ตั้งตนเป็นผู้มีมนต์ สามารถทำให้คนชื่นชมชื่นชอบ และได้มีหญิงสาวรายหนึ่งได้เดินทางไปเข้าพิธีลงนะหน้าทองตรงบริเวณเนินอก..จนเป็นที่วิจารณ์อย่างกว้างขวาง โดยที่เพจได้ระบุข้อความว่า..

วัดดังฉาวอีก พระหนุ่มตั้งตัวเป็นจอมขมังเวทย์ ลงนะหน้าทองบนเนินอกหญิงสาว
รายงานข่าวแจ้งว่า ขณะนี้ผู้ใช้โซเชียลมีเดียในจังหวัดเชียงใหม่ต่างแสดงความเห็นวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง เกี่ยวกับพฤติกรรมของชายหนุ่มคนหนึ่งที่แต่งกายคล้ายพระสงฆ์ และอาศัยอยู่ในวัดชื่อดังแห่งหนึ่งกลางเมืองเชียงใหม่ โดยชายหนุ่มคนดังกล่าวหรือพระรูปนี้เป็นกลุ่มเดียวกับพระเจ้าอาวาสที่รวมกลุ่มกันฉันหมูกระทะซดเบียร์จนเป็นเรื่องราวและทำให้ต้องลาสิกขาในเวลาต่อมาด้วย

จากการตรวจสอบพบว่า ชายหนุ่มคนนี้ตั้งตัวเป็นจอมขมังเวทย์ และใช้กุฏิที่พักสงฆ์ในวัดดังกล่าวเปิดเป็นสำนักประกอบพิธีกรรมต่างๆ ทั้งรับสักยันต์,ลงนะหน้าทอง และปลุกเสกเครื่องรางของขลัง เป็นต้น

พบว่ามีผู้นับถือทั้งชายหนุ่มและหญิงสาวพากันมาให้ชายหนุ่มแต่งกายคล้ายพระสงฆ์รายนี้ทำพิธีให้จำนวนมาก และมีการถ่ายรูปนำไปโพสต์ในสื่อด้วย

การประกอบพิธีกรรม โดยเฉพาะการแปะแผ่นทองลงบนร่างกาย มีการใกล้ชิดถึงเนื้อตัวเนินอกของหญิงสาวด้วย แต่ว่ากันว่าไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใดเพราะชายหนุ่มรายนี้มีรสนิยมออกไปทางชื่นชอบเพศเดียวกันมากกว่า

พบว่าผู้ที่เข้ามาในพิธีกรรมจะเรียกคนนี้ว่า. "ครูบา ต." ทั้งๆ ที่อายุยังน้อยเพียงประมาณ 20 ปีเศษ จะแต่งกายคล้ายพระสงฆ์ แต่ยังคงเล่นเฟซบุ๊กและโซเชียลมีเดียแทบไม่ต่างจากคนทั่วไป

รวมทั้งหลายครั้งมีการโพสต์ภาพถ่ายของตัวเองในอิริยาบถต่างๆ ที่ดูไม่สำรวมอย่างที่ควรจะเป็นสำหรับคนที่ตั้งใจจะเป็นพระสงฆ์ และยังพบว่าชายหนุ่มรายนี้ไม่ได้โกนคิ้วและหนวดเหมือนพระสงฆ์อีกด้วย

จากพฤติกรรมดังกล่าวทำให้ชาวเชียงใหม่ผู้หวังดีต่อศาสนาพุทธ ได้วิงวอนเรียกร้องให้คณะสงฆ์จังหวัดเชียงใหม่และหน่วยงานเกี่ยวข้องตรวจสอบพฤติกรรมของชายแต่งกายคล้ายพระสงฆ์รายนี้ด้วยอย่างเร่งด่วน และลงโทษหากพบความผิด หรือแม้กระทั่งไม่มีความผิดก็เห็นว่าถ้าเป็นไปได้ก็ควรให้ลาสิกขาออกไปเป็นฆราวาส และตั้งสำนักที่บ้านของตัวเองจะดีกว่า อย่ามาอาศัยชายผ้าเหลืองและวัดแอบอ้างกระทำการใดๆ เลย

ขอบคุณ Facebook