หรือจะต้องเสียกรุงครั้งที่สาม? โดย สิริอัญญา วันอังคารที่ 14 กันยายน 2564
หรือจะต้องเสียกรุงครั้งที่สาม?
โดย สิริอัญญา
วันอังคารที่ 14 กันยายน 2564
การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินจะสิ้นสุดลงในวันที่ 30 กันยายน 2564 หลังจากที่ได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินมาร่วม 18 เดือนแล้ว นับเป็นการทำให้ประเทศไทยทั้งประเทศตกอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉินยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของชาติ ที่มีแต่หายนะและความเสียหายเป็นผลอันประจักษ์แล้ว
ไม่มีประเทศใดในโลกที่นำประเทศเข้าสู่สถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อรับมือกับการแพร่ระบาดของโคบ้า บางประเทศที่จำเป็นต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินบ้างก็เป็นไปตามสภาพอันจำเป็นไม่อาจก้าวล่วงได้ในประเทศนั้น และประกาศใช้สถานการณ์ฉุกเฉินเพียงระยะเวลาสั้นที่สุดเพราะประเทศทั้งหลายในโลกก็รู้เห็นกระจ่างชัดว่าการนำประเทศเข้าสู่สถานการณ์ฉุกเฉินมีแต่หายนะและความเสียหายแก่ประเทศชาติอย่างร้ายแรง
แต่ประเทศไทยของเราเมื่อประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินแล้วก็ได้มีการโอนอำนาจให้แก่คณะบุคคลคณะหนึ่งที่ชื่อว่า ศบค. ที่ประกอบขึ้นด้วยบุคคลหลายหมู่หลายเหล่า และที่มีบทบาทมากที่สุดก็คือบุคลากรทางการแพทย์ ที่แต่ละวันเห็นคนเสียชีวิตจนคุ้นหูคุ้นตาคุ้นใจ มิได้หวั่นไหวหรือสลดใจต่อการสูญเสียเช่นนั้นเลย คนเหล่านี้คือผู้กุมอำนาจและผู้ใช้อำนาจตามกฎหมายสถานการณ์ฉุกเฉินในปัจจุบันนี้
และ 18 เดือนที่ผ่านมาก็ปรากฏผลชัดเจนแล้วว่านอกจากไม่เคยป้องกันหรือแก้ไขปัญหาได้สำเร็จ แต่กลับซ้ำร้ายทำให้เกิดความเสียหายใหญ่หลวงเกิดขึ้นนานาประการ เช่น
ประการแรก ล้มเหลวในการป้องกันการแพร่ระบาด ทำให้คนไทยติดเชื้อระบาดมากขึ้น และมีจำนวนมากกว่า 15 เท่าของผู้ป่วยสะสมในประเทศจีน ซึ่งมีประชากรมากกว่าประเทศไทยถึง 20 เท่า และมีผู้เสียชีวิตติดลำดับต้น ๆ ของโลกไปแล้ว
ประการที่สอง ล้มเหลวในการแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะการจัดหาและการบริหารเรื่องวัคซีน อุปกรณ์เครื่องมือทางการแพทย์ ทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมและเกิดความเสียหายใหญ่หลวงทั่วทั้งประเทศ กระทั่งเป็นเรื่องหลักที่ฝ่ายค้านยกขึ้นเป็นข้อกล่าวหาในการไม่ไว้วางใจรัฐบาล และเป็นที่มาของความโกรธแค้นชิงชังของประชาชนต่อรัฐบาล
ประการที่สาม มีการใช้โอกาสภายใต้ข้ออ้างฉุกเฉินทำการจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีพิเศษเกือบทั้งหมด ดังนั้นจึงมีข้อครหานินทาประจานเรื่องการทุจริตอย่างกว้างขวางครึกโครม แม้ ป.ป.ช. เองก็รายงานว่ามีกรณีการกล่าวหาว่ามีการทุจริตจำนวนมากถึง 15,000 รายการ ในระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือน
ประการที่สี่ ภาคเอกชนผู้ประกอบการทั้งหลายได้รับความเสียหายยับเยินจากมาตรการที่ออกโดยขาดความรอบคอบ เกินจำเป็น เลือกปฏิบัติ และไม่เป็นธรรม รวมทั้งมิได้ให้การเยียวยาตรงเป้าเข้าจุดตามที่กฎหมายบัญญัติ ทำให้ผู้ประกอบการต้องปิดกิจการ ล้มละลาย ขาดทุน ผู้คนตกงานระเนระนาด จำนวนไม่น้อยต้องฆ่าตัวตาย และประกาศขายกิจการเป็นรายวัน ผู้ลงทุนต่างชาติถอนการลงทุนและย้ายออกจากประเทศไทย ความเสียหายส่วนนี้เป็นมูลค่าหลายล้านล้านบาท ซึ่งจะเป็นภาระแผ่นดินต่อไปในอนาคต
ที่ร้ายแรงที่สุดก็คือมาตรการที่ออกมีผลต่อกระทบต่อการตัดหรือทำลายวงจรต่าง ๆ โดยเฉพาะวงจรอาหาร วงจรขนส่ง วงจรบริการ หรือวงจรการผลิต เป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดสภาพข้าวยากหมากแพง อาหารขาดแคลน และความอดอยากแพร่ขยายไปอย่างกว้างขวาง
จนเป็นเหตุให้ผู้มีน้ำใจเมตตาทั้งหลายตั้งแต่พระมหากษัตริย์ลงมาจนถึงผู้ประกอบการต่างๆ ต้องระดมกันทำอาหารไปแจกจ่ายต่อผู้อดอยากอย่างกว้างขวางต่อเนื่องมาหลายวันแล้ว อันจะนำไปสู่การลุกฮือขึ้นเป็นการปฏิวัติประชาชาติแบบฝรั่งเศสได้
ประการที่ห้า ความเสียหายของรัฐสุดคณานับ ต้องใช้จ่ายเงินงบประมาณที่ต้องกู้ยืมมาใช้อย่างฉุกเฉินหลายล้านล้านบาท จะเป็นภาระหนี้สินถ่วงรั้งประเทศไทย จนคนบางพวกเริ่มเสนอให้ประเทศไทยเข้า IMF คือเอาประเทศเข้าไปจำนำอีกครั้งหนึ่งแล้ว และส่งผลต่อรายได้แผ่นดินที่อาจจะขาดรายได้ในปีงบประมาณ 2565 นับล้านล้านบาท ซึ่งอาจนำไปสู่เหตุการณ์ที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ พ.ศ. 2475
สภาพเช่นนี้เป็นที่ประจักษ์โดยทั่วไปและไม่อาจปฏิเสธได้ ดังนั้นจึงมีสัญญาณจากนายกรัฐมนตรีที่จะยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในวันที่ 1 ตุลาคม 2564 ซึ่งมีผลต่อการยุบ ศบค. ด้วย ทันทีที่ข่าวนี้ปรากฏได้สร้างความฮือฮาดีอกดีใจกันทั่วประเทศ ด้วยหวังว่าประเทศจะกลับสู่ภาวะปกติและแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดในลักษณะโรคประจำถิ่นเหมือนกับประเทศที่เขาประสบความสำเร็จมาแล้ว
แต่ทันทีที่ข่าวนี้ปรากฏก็เกิดกระแสต่อต้านจากขบวนการหลงอำนาจที่มีอำนาจในเรื่องนี้ในลักษณะส้มหล่นทับตีน ที่ได้ใช้อำนาจและแสวงหาผลประโยชน์มากมายมหาศาล โดยเร่งปั่นกระแสข่าวกันเป็นกระบวนการใหญ่
ในลักษณะที่ว่าการแพร่ระบาดรอบใหม่กำลังจะมาถึง จะมีผู้ป่วยถึงวันละ 30,000-50,000 คน จะมีการเสียชีวิตจำนวนมาก และเริ่มมีรายงานยอดผู้ป่วยในลักษณะที่สูงขึ้นหลังจากที่ลดต่ำลงในช่วงการอภิปรายไม่ไว้วางใจ
มีลักษณะชัดเจนว่าขบวนการกาฝากอำนาจเหล่านี้ยังหวงแหนอำนาจและต่อต้านท่าทีที่จะยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน กระทั่งอาจดำเนินการมากหลายเพื่อกดดันให้รัฐบาลจำยอมต้องขยายเวลาสถานการณ์ฉุกเฉิน และออกมาตรการต่าง ๆ มากขึ้นอีก
ถ้าหากประเทศไทยจะถึงสิ้นบุญวาสนาและต้องทำตามความประสงค์ของขบวนการกาฝากเหล่านี้ก็ต้องถือว่าประเทศไทยถึงกาลดับสูญอีกครั้งหนึ่งแล้ว นั่นคือจะมีสภาพเหมือนกับการเสียกรุงครั้งที่สาม ซึ่งไม่เพียงแต่คนลำบากยากจนเดือดร้อนเท่านั้น ใครใดก็ตามในแผ่นดินนี้ย่อมอยู่ในภาวะวินาศสันตะโรเหมือนกันทั้งสิ้น.