ผู้ว่าฯสมุทรสาคร “วีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี”โพสต์ถึงวิกฤตชีวิตการงานเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2564
ผู้ว่าฯสมุทรสาคร “วีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี”โพสต์ถึงวิกฤตชีวิตการงานเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2564ไว้ว่า
“ไม่มีวิกฤติโควิดไหน มากเท่าสมุทรสาครอีกแล้ว
หลายคนบ่นมา ด้วยความกลัว
หลายคนบ่นมา ด้วยความท้อ
อยากให้ดูที่สมุทรสาครเป็นตัวอย่าง
วิกฤติครั้งที่ 4 ในชีวิตผม
คนสมุทรสาครยังไม่ยอมแพ้ครับ”
พร้อมทั้งรีโพสต์ย้อนหลังถึงวิกฤตชีวิตที่ผ่านมาว่า
“ไม่อยากเห็นคนท้อถอย
ไม่อยากเห็นคนล้มแล้วไม่ลุก
แต่บางคนบอกว่าเป็นไปไม่ได้หรอก อับจนหนทาง เล่นเส้นสาย เล่นอำนาจเถื่อน ฯลฯ
ต่อให้มุมานะอย่างไร ต่อให้เข้มแข็งอย่างไร
สุดท้าย ธรรมะย่อมไม่สามารถชนะอธรรมที่แข็งแรงกว่าได้แน่นอน
ผมไม่ได้บอกเลยว่า มุมานะแล้วจะประสบความสำเร็จ
เข้มแข็งแล้วต้องได้ชัยชนะ
ใช้หัวใจนำทาง ท้ายสุดต้องเดินไปสู่เป้าหมายได้
เพียงแต่ผมไม่อยากเห็นใครยอมแพ้อะไรง่ายๆ กับสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
เพียงแต่ผมเชื่อมั่นว่า ท้ายสุดธรรมะย่อมชนะอธรรม
หากเราแย่ หันไปดูรอบๆตัวว่ามีคนที่แย่กว่าเราอีกไหม
ลองดูเรื่องจริงจากผม ซึ่งประสบวิกฤตในชีวิตใหญ่ๆ ๓ ครั้ง เป็นตัวอย่างดีไหม
วิกฤตครั้งที่ ๑
ด้วยความที่เป็นลูกกำพร้า ทั้งเตี่ยและแม่ตายตั้งแต่ยังเด็ก ผมจึงใช้ชีวิตค่อนข้างจะไปทางโลดโผน ไม่มีคนคอยดูแลโดยตรง
การศึกษาลุ่มๆดอนๆ ใช้ชีวิตในฐานะนักดนตรีมากกว่า
ไม่แปลกอะไรที่ผมจะจบการศึกษาในระดับปริญญาตรี ด้วยเกรดเฉลี่ย ๒.๐๓
ลุ้นจนวิชาสุดท้าย
วันที่ผมไปสอบบรรจุรับราชการครั้งแรก จึงมีแต่เพื่อนๆรุมถามว่า
“จบหรือปล่าว”
“ไม่น่าจะจบนะ”
วิกฤตครั้งที่ ๒
สมัยผมเป็นนายอำเภอเดิมบางนางบวช เกิดอาการอัมพาตขึ้นกระทันหัน
กระดิกตัวไม่ได้
หมอที่โรงพยาบาลวินิจฉัยว่าน้ำในหูไม่เท่ากัน
แต่อยู่ที่โรงพยาบาลเกือบวันอาการไม่ดีขึ้น แฟนเลยตัดสินใจส่งเข้ากรุงเทพฯ
หลังหมอทำ MRI จึงทราบว่าเส้นเลือดในสมองตีบ ต้องผ่าตัดเพื่อช่วยชีวิตเป็นการด่วน
โอกาสรอดมีแค่ ๑๐%
เมื่อผ่าสมอง ยังพบว่าสมองน้อยตาย จำต้องตัดทิ้ง
หมอบอกครอบครัวว่า ให้ทำใจ
ถึงแม้รอด สมองน้อยไม่มี ย่อมไม่มีทางเดินได้
วิกฤตครั้งที่ ๓
เกิดขึ้นที่พิจิตรยามมารับตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด
ใครจะนึกว่าบึงสีไฟ ที่มีเนื้อที่ ๕,๓๙๐ ไร่ จะแห้งแล้งไม่มีน้ำเหมือนทุ่งกุลาร้องไห้ขนาดนี้
แถมเกิดไฟไหม้ในบึงสีไฟติดต่อกันมา ๓ ปี
ผมประกาศให้การพัฒนาบึงสีไฟเป็นวาระจังหวัด
พร้อมๆกับชวนผู้คนไปลอยกระทงกันที่บึงสีไฟ
ยอมรับว่าเป็นงานยาก แต่ท้าทาย
เอาตำแหน่งตนเป็นเดิมพันกับการลอยกระทง
ถ้าทำไม่ได้ ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดไปทำไม
วิกฤต ๓ ครั้ง อาจดูเป็นเรื่องเล็กสำหรับใครบางคน แต่สำหรับผม ถือเป็นเรื่องใหญ่ของชีวิตมาก
เป็นนักมวย ไม่ขึ้นชกย่อมแพ้แน่ๆ
แต่หากขึ้นชกยังมีโอกาสชนะ แม้จะริบหรี่ก็ตาม
หัวใจที่นำทาง
เปรียบเสมือนแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์
หากผมยอมจำนนตั้งแต่วิกฤตแรกในชีวิต
ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตรคนปัจจุบัน ย่อมไม่ใช่ผมแน่นอน ^^”
ที่มา : เฟซบุ๊ก วีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรีและSakravee Srisangdharma