"หมอเบิร์ท" แจงแล้ว หลัง ครม. สั่งซื้อวัคซีน "ซิโนแวค" เพิ่มอีก 12 ล้านโดส
พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ หรือ หมอเบิร์ท อดีตนางสาวไทยประจำปี พ.ศ. 2542 และผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) บอกถึงกรณีที่มีการตั้งคำถามมาก ว่าทำไมรัฐบาลจัดซื้อวัคซีนซิโนแวค เพิ่มอีก 12 ล้านโด๊ส ว่า ศบค.ยึดจากความเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่ได้ทำการศึกษาและวิจัย ทั้งในพื้นที่และในโรงเรียนแพทย์อย่างหลากหลาย โดยเป็นการรายงานการศึกษาการติดเชื้อของบุคลากรทางการแพทย์ที่พบว่ามีบุคลากรที่ฉีดวัคซีนซิโนแวค 2 เข็มแล้วมีการติดเชื้อหลัง 14 วันไปแล้ว พบว่าประสิทธิผลของวัคซีนดังกล่าวสามารถป้องกันการติดเชื้อ 72 เปอร์เซ็นต์ รวมถึงความสามารถในการป้องกันการตายและการเจ็บป่วยรุนแรง ได้ 98 เปอร์เซ็นต์ รวมถึงการศึกษาเมื่อเทียบกับวัคซีนของแอสตราเซเนกา ซึ่งพบบุคลากรทางการแพทย์ติดเชื้อหลังจากได้รับการฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกา 1 เข็ม พบว่ามีประสิทธิผลในการป้องกันการติดเชื้อมากถึง 88 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้ เมื่อเป็นการฉีดวัคซีนของซิโนแวค ผสมกับของแอสตราเซเนกา จะทำให้ประสิทธิผลป้องกันการติดเชื้อ ป้องกันการเจ็บป่วยรุนแรงและการเสียชีวิตนั้นมีมากขึ้น
และยังมีอีกเหตุผล คือการวางแผนให้ระดมฉีดวัคซีนทั่วประเทศไทยประมาณ 100 ล้านโด๊ส ซึ่งแผนเดิมจะมีการเติมวัคซีนเข้ามาจาก 2 ส่วน คือ ของบริษัท จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน และแอสตราเซนเนกา ซึ่งคาดว่าจะให้รวมกันประมาณ 10 ล้านโด๊ส แต่จากที่กระทรวงสาธารณสุขรายงานว่าจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน ไม่สามารถจัดส่งวัคซีนให้ได้ภายในไตรมาส 4 ตามที่ตกลงกันไว้ จึงทำให้เราต้องปรับแผน ขณะเดียวกัน กรณีของแอสตราเซนเนกาที่กำลังผลิตและการจัดสรร ที่คาดว่าจะได้ 10 ล้านโด๊สนั้น อาจลดลงมาอยู่ที่เดือนละ 5-6 ล้านโด๊สต่อเดือน ทำให้มีความสมเหตุสมผล จำเป็นต้องจัดหาวัคซีนซิโนแวคเข้ามาเสริมในส่วนที่ขาดหายไป ทั้งนี้จากการศึกษาของโรงเรียนแพทย์ ทั้งของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โรงพยาบาลรามาธิบดี และโรงพยาบาลศิริราช ที่มีการระดมฉีดแบบผสมซิโนแวคกับแอสตราเซเนกากัน 3 สัปดาห์ แทนการฉีดแอสตราเซเนกา 2 เข็ม พบว่าประสิทธิภาพช่วยลดอัตราป่วย อัตราความรุนแรงและการเสียชีวิตได้ รวมถึงการระดมฉีดครอบคลุมประชากรจำนวนมากได้เป็นไปตามแผนการกระจายวัคซีน