Aston Martin DBX & DBS Superleggera

Aston Martin DBX

Aston Martin DBX เป็นรถครอสโอเวอร์หรูขนาดกลาง วางหน้า ขับเคลื่อนสี่ล้อ ผลิตโดย Aston Martin ผู้ผลิตรถยนต์หรูสัญชาติอังกฤษ เริ่มการผลิตอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2020

ออกแบบ
มุมมองด้านหลัง
ภายใน

DBX เป็นรถยนต์คันแรกที่ผลิตขึ้นที่โรงงานแห่งใหม่ของ Aston Martin ในเมือง St Athan ประเทศเวลส์ Marek Reichman รองประธานบริหารและหัวหน้าเจ้าหน้าที่สร้างสรรค์ด้านครีเอทีฟกล่าวว่า ฐานล้อของ DBX ขยายออกไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพื่อให้ล้ออยู่ในตำแหน่งที่มุมของรถ ซึ่งหลังคาที่ต่ำทำให้เกิดภาพลวงตาของรถขนาดเล็กที่ช่วยทำให้ DBX ดูเหมือนรูปทรง Aston Martin แบบดั้งเดิมมากกว่า DBX มีประตูบานพับแบบหงส์ ในขณะที่กระจังหน้าใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาใน Aston Martin

ข้อมูลจำเพาะและประสิทธิภาพ

(car for sale)

ในขณะที่เกี่ยวข้องกับ Vantage DBX ถูกสร้างขึ้นบนแพลตฟอร์มเฉพาะของตัวเอง เช่นเดียวกับรถ Aston Martin รุ่นอื่นๆ มันถูกสร้างด้วยแผงอะลูมิเนียมและการอัดขึ้นรูป ระบบส่งกำลังและเทคโนโลยีอินโฟเทนเมนท์ยืมมาจากเมอร์เซเดส-เบนซ์ DBX ใช้เครื่องยนต์ V8 เทอร์โบคู่ M177 4.0 ลิตรของ Mercedes-AMG ที่มีกำลังขับ 550 PS (405 kW; 542 hp) และแรงบิด 700 N⋅m (516 lb⋅ft) DBX สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. (0–62 ไมล์ต่อชั่วโมง) ใน 4.5 วินาที และทำความเร็วสูงสุด 292 กม./ชม. (181 ไมล์ต่อชั่วโมง) เกียร์อัตโนมัติ 9 สปีดเป็นแบบมาตรฐาน และการลากจูงมีพิกัดสูงสุด 2,700 กก. (6,000 ปอนด์) การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์คือ NEDC Combined CO2 269g/km และ mpg รวมในสหราชอาณาจักรอยู่ที่ 19.73 ระบบม้วนไฟฟ้าแบบแอคทีฟ 48 โวลต์ช่วยต้านการม้วนตัวของตัวรถภายใต้การเข้าโค้งอย่างหนัก และรถมาพร้อมกับโหมดการขับขี่ห้าโหมด: GT เริ่มต้น, Sport, Sport Plus, Terrain และ Terrain Plus พร้อมโหมดการเข้าถึงเพิ่มเติม กล่องเกียร์กลางแบบแอ็คทีฟจะส่งแรงบิดไปยังเพลาหน้าเมื่อจำเป็น และยังมีเฟืองท้ายแบบอิเล็คทรอนิคส์แบบลิมิเต็ดสลิป แดมเปอร์แบบปรับได้และสปริงลมแบบสามห้องเป็นแบบมาตรฐาน ซึ่งให้ช่วงการปรับความสูงที่สำคัญได้อย่างมาก
รถสูตรหนึ่งการแพทย์

ในปี 2564 มีการประกาศว่า DBX จะกลายเป็นรถ Formula One Medical อย่างเป็นทางการ โดยเข้าร่วมกับ Mercedes C63S AMG Estate Medical Car DBX Medical Car มีเครื่องแบบ British Racing Green ที่เน้นสีเหลืองนีออน นอกจากนี้ยังจะเข้าร่วมกับ Aston Martin Vantage ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของฝูงบินความปลอดภัยใหม่ของ Formula One

Aston Martin DBS Superleggera

Aston Martin DBS Superleggera เป็นแกรนด์ทัวเรอร์ที่ผลิตโดย Aston Martin ผู้ผลิตรถยนต์หรูสัญชาติอังกฤษตั้งแต่ปี 2018 ในเดือนมิถุนายน 2018 Aston Martin ได้เปิดตัวรถรุ่นนี้ในฐานะเรือธง V12 แกรนด์ทัวเรอร์ของแบรนด์ซึ่งใช้ DB11 V12 แต่มีการปรับเปลี่ยนที่ทำให้แตกต่างจาก DB11 เชื้อสายแทน Vanquish.[3] รถคันนี้ใช้ป้ายชื่อ DBS ที่เป็นสัญลักษณ์ซึ่งใช้โดยทั้ง DBS ดั้งเดิมและ DBS V12 ที่ใช้ DB9 นอกจากนี้ รถคันนี้ยังใช้ชื่อ Superleggera ซึ่งเป็นการยกย่อง Carrozzeria Touring Superleggera ผู้ช่วย Aston Martin พัฒนารถแกรนด์ทัวริ่งที่เบาที่สุดในปี 1960 และ 1970

การออกแบบและการส่งกำลัง

ด้านหน้าของ DBS มีกันชนหน้าแบบใหม่พร้อมกระจังกลางขนาดใหญ่เพื่อปรับปรุงการระบายความร้อนของเครื่องยนต์พร้อมทั้งช่องระบายอากาศที่ด้านข้างเพื่อระบายความร้อนให้กับเบรกและช่องระบายอากาศสองช่องบนฝากระโปรงซึ่งช่วยในกระบวนการระบายความร้อนของเครื่องยนต์ เครื่องยนต์ V12 เทอร์โบคู่ขนาด 5.2 ลิตร ให้กำลัง 725 PS (533 kW; 715 hp) ที่ 6,500 rpm และแรงบิด 900 N⋅m (664 lb⋅ft) จาก 1,800–5,000 rpm เพื่อปรับจุดศูนย์ถ่วงและการกระจายน้ำหนักให้เหมาะสมที่สุด หน่วย V12 จึงถูกจัดตำแหน่งให้ต่ำที่สุดและอยู่ด้านหลังแชสซีให้ไกลที่สุด

DBS Superleggera นำเสนอชุดเกียร์ ZF 8HP95 ใหม่ โดยมีอัตราส่วนของไดรฟ์สุดท้ายที่สั้นกว่า 2.93:1 ตรงกันข้ามกับ DB11 2.70:1 ในส่วนของแชสซีนั้น ยังมาพร้อมกับแรงบิดเวคเตอร์และเฟืองท้ายแบบลิมิเต็ดสลิปทางกลไกเพื่อประสิทธิภาพในสนามที่เน้นมากขึ้น รถยังมีคุณสมบัติแอโรไดนามิกแบบเดียวกับที่เห็นครั้งแรกใน DB11 รวมถึงระบบ Aeroblade ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ของ Aston Martin แต่ปรับแต่งอากาศพลศาสตร์ด้วยดิฟฟิวเซอร์คู่ที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก F1 ซึ่งช่วยให้รถสร้างแรงกดได้ 397 ปอนด์ (180 กก.) ซึ่งเป็นตัวเลขสูงสุดเท่าที่เคยมีมา การผลิตซีรีส์ Aston Martin.[8] ระบบไอเสียไททาเนียมแบบสี่ท่อใหม่ช่วยให้เสียงเครื่องยนต์ดีขึ้น ในขณะที่การใช้คาร์บอนไฟเบอร์ในพื้นที่หลักของรถช่วยลดน้ำหนักลงเหลือ 1,693 กก. (3,732 ปอนด์)

ผลงาน

DBS Superleggera สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. (62 ไมล์ต่อชั่วโมง) ใน 3.4 วินาที และ 0-161 กม./ชม. (100 ไมล์ต่อชั่วโมง) ใน 6.4 วินาที รถยังสามารถเร่งความเร็วจาก 80–161 กม./ชม. (50-100 ไมล์ต่อชั่วโมง) ใน 4.2 วินาทีที่เกียร์สี่ และสามารถบรรลุความเร็วสูงสุด 340 กม./ชม. (211 ไมล์ต่อชั่วโมง) โหมดการขับขี่สามโหมด: GT, Sport และ Sport Plus ซึ่งปรับการตอบสนองของรถ

รุ่นต่างๆ

DBS Superleggera Volante

รถรุ่น Volante (เปิดประทุน) ของ DBS Superleggera เปิดตัวในเดือนเมษายน 2019 มีประสิทธิภาพเกือบเท่ากันและมีเครื่องยนต์และเกียร์เหมือนกันกับรถคูเป้ เป็นครั้งแรกในรถยนต์ Aston Martin ที่กรอบกระจกบังลมมีให้เลือกทั้งแบบคาร์บอนไฟเบอร์และฝากระโปรงหลัง

DBS Superleggera OHMSS

ในเดือนพฤษภาคม 2019 Aston Martin ได้เปิดตัว DBS Superleggera เพื่อเฉลิมฉลอง 50 ปีของภาพยนตร์เจมส์ บอนด์เรื่อง On Her Majesty's Secret Service รถยนต์เป็นไปตามข้อกำหนดของ DBS ดั้งเดิมที่ใช้ในภาพยนตร์ ด้วยสีภายนอกสีเขียวมะกอกและย่างแบบ Aston Martin แบบดั้งเดิม สร้างเพียง 50 องค์เท่านั้น

ดีบีเอส จีที ซากาโต้

ในเดือนตุลาคม 2019 Aston Martin เปิดเผย Aston Martin DBS GT Zagato ที่ Newport Concours ของ Audrain ในสหรัฐอเมริกา รถคันนี้มีพื้นฐานมาจาก DBS Superleggera และกำลังสูงสุดได้เพิ่มขึ้นจาก 715 แรงม้า เป็น 760 แรงม้า สามารถซื้อได้เพียง 6 ล้านปอนด์ก่อนหักภาษี "DBZ Centenary Collection" ซึ่งรวมถึง DB4 GT Zagato ภาคต่อและ DBS GT Zagato มีขายแค่ 19 ห่อ

DBS Superleggera 007 Edition

DBS Superleggera 007 Edition เปิดตัวในเดือนสิงหาคม 2020 รุ่น 007 Edition มีสีเทาเซรามิกพร้อมหลังคาคาร์บอนไฟเบอร์สีดำตัดกัน ฝาครอบกระจก สปลิตเตอร์ ดิฟฟิวเซอร์ และสปอยเลอร์หลัง นอกจากนี้ยังมีล้อขนาด 21 นิ้วแบบเหลี่ยมเพชรสีดำเงา ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 25 ยูนิต

แผนกต้อนรับและการตลาด

Matt Saunders จาก Autocar ให้รางวัลแก่ DBS Superleggera ด้วยคะแนนห้าดาวที่สมบูรณ์แบบ โดยระบุว่า "นี่เป็น super-GT ที่โดดเด่นอยู่แล้ว และเป็นตัวแทนของผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติอังกฤษที่ฟื้นคืนสภาพอย่างดีที่สุด" นักข่าวด้านยานยนต์ Jeremy Clarkson วิพากษ์วิจารณ์ DBS Superleggera Volante ว่า "จับแผ่นกันลื่นไถลที่คางได้อย่างไม่รู้จบ" ในขณะที่วิจารณ์ความเร็วโดยอ้างว่า "มันเกือบจะเร็วเกินไป" และผู้ซื้อ "ควรรักษาคันเร่งให้ดี ด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง" โดยสรุปว่าผู้ซื้อควรใช้ DB11 Volante ดีกว่า" DBS เตรียมปรากฏตัวในภาพยนตร์เจมส์ บอนด์เรื่อง No Time to Die