#มหากาพย์วัคซีน ตอน ความเข้าใจผิดยอดนิยมเกี่ยวกับ COVAX (ที่บางส่วนรัฐสร้างขึ้นเอง)
คุณสฤณี อาชวานันทกุล Building bridges, with words. สร้างสะพานด้วยตัวหนังสือ โพสต์ไว้น่าสนใจ...
#มหากาพย์วัคซีน ตอน ความเข้าใจผิดยอดนิยมเกี่ยวกับ COVAX (ที่บางส่วนรัฐสร้างขึ้นเอง)
เขียนถึง COVAX ไปแล้วหลายครั้ง แต่เห็นว่ายังมีความเข้าใจผิดที่แพร่หลายมากมายในสังคมไทย ตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา เลยคิดว่ารวบรวมมาเขียนในโพสเดียวไปเลยดีกว่านะคะ
1. "ไทยไม่ใช่ประเทศยากจน ถ้าเข้าร่วมต้องจ่ายเงินซื้อวัคซีนราคาแพง"
ความจริง: โครงการ COVAX เป็นการจับมือร่วมกันระหว่าง WHO กับองค์กรโลกบาลและเอ็นจีโอระดับโลก เป้าหมายเพิ่มการเข้าถึงวัคซีน มีอำนาจการต่อรองค่อนข้างสูงกับบริษัทผู้ผลิตเพราะจะซื้อ 2 พันล้านโดส ไม่มีเหตุผลใดๆ ให้คิดว่าราคาวัคซีนที่ซื้อผ่าน COVAX จะ "แพงกว่า" ถ้าหากแต่ละประเทศไปเจรจาโดยตรงกับบริษัทผู้ผลิต โดยเฉพาะประเทศที่ไม่ใช่ประเทศร่ำรวยอะไร
2. “ไทยจะเลือกวัคซีนยี่ห้อที่ต้องการไม่ได้”
ความจริง: ประเทศยากจน 92 ประเทศเลือกวัคซีนจาก COVAX ไม่ได้ เพราะได้ฟรี แต่ประเทศเหล่านี้ก็ไม่มีทางเลือกอยู่แล้ว และ COVAX ใช้แต่วัคซีนที่ผ่านการรับรองจาก WHO / ส่วนไทย ในฐานะประเทศรายได้ปานกลางที่ต้องเสียเงินซื้อวัคซีนจาก COVAX เลือกทำสัญญาได้สองแบบ คือ
1) สัญญาผูกมัด (Committed Purchase Agreement: CPA) จ่ายค่ามัดจำล่วงหน้า (ไม่ใช่ “ค่าธรรมเนียม” แบบที่หน่วยงานรัฐบางหน่วยอ้าง) 1.60 USD ต่อโดส + หนังสือค้ำประกันมูลค่า 8.95 USD ต่อโดส (จ่ายค่าธรรมเนียมธนาคารในส่วนนี้) กรณีนี้จะเลือกวัคซีนที่ต้องการไม่ได้ แต่สามารถเลือกได้ว่าจะไม่ซื้อวัคซีนราคาแพง (เกิน 21.10 USD ต่อโดส) หรือ
2) สัญญามีตัวเลือก (Optional Purchase Agreement: OPA) ถ้าเลือกแบบนี้ จ่ายค่ามัดจำ 3.10 USD ต่อโดส ไม่ต้องวางหนังสือค้ำประกัน และเลือกได้ว่าจะซื้อวัคซีนยี่ห้อไหนในโครงการ COVAX
ดังนั้น ต่อให้ไทยเข้าร่วมแบบสัญญาผูกมัด ก็สามารถระบุได้ตั้งแต่ต้นว่า จะไม่ซื้อวัคซีนยี่ห้อไหนก็ตามที่แพงกว่า 21.10 USD ต่อโดส (ราคา Pfizer วันนี้อยู่ที่ 20 USD ต่อโดส), และถ้าเข้าร่วมแบบสัญญามีตัวเลือก (หลายประเทศเลือกสัญญาแบบนี้) ก็จะเลือกซื้อวัคซีนได้ทุกยี่ห้อที่ต้องการ
3. “COVAX ไม่ได้มีวัคซีนส่งมากมาย ไทยซื้อเองหาได้เยอะกว่า”
ความจริง: โครงการ COVAX ไม่ได้ตั้งเป้าว่าจะจัดหาวัคซีนให้ได้ 100% ของประชากรทุกประเทศ แต่ตั้งเป้าที่ 20% และเป็นการช่วยเหลือประเทศยากจนและประเทศกำลังพัฒนาเป็นหลัก สำหรับประเทศไทยซึ่งมีรายได้ปานกลาง COVAX จะช่วย “กระจายความเสี่ยง” ในการจัดหาวัคซีน ซึ่งเป็นหลักการที่สำคัญมากแต่ที่ผ่านมารัฐบาลละเลย
ถ้าดูข้อเท็จจริงวันนี้ เฉพาะในภูมิภาคอาเซียน ทั้ง 4 ประเทศในอาเซียนที่สั่งซื้อ AstraZeneca ตรงจากบริษัท และเข้าโครงการ COVAX ด้วย ล้วนได้รับวัคซีนยี่ห้อนี้จาก COVAX มากกว่าวัคซีนที่ส่งตรงจากบริษัท ณ สิ้นเดือน ก.ค. 64 (ส่วนหนึ่งเพราะวัคซีนที่สั่งตรงจากบริษัท ต้องรอของจากโรงงานรับจ้างผลิตในไทย ที่เพิ่งทยอยส่งมอบในเดือน ก.ค.) ดังนี้
มาเลเซีย : ได้ AZ จาก COVAX 0.83 ล้านโดส (ยอดซื้อ AZ จาก COVAX 6.4 ล้านโดส) / ได้ AZ ตรงจากบริษัท 0.58 ล้านโดส (ยอดซื้อตรงจากบริษัท 6.4 ล้านโดส)
อินโดนีเซีย: AZ COVAX 11.7 ล้านโดส (ยอดที่อยากได้จาก COVAX ทุกยี่ห้อ 104 ล้านโดส) / AZ ตรงจากบริษัท 4 ล้านโดส (ยอดซื้อตรงจากบริษัท 50 ล้านโดส)
ฟิลิปปินส์: AZ COVAX 4.6 ล้านโดส (ยอดที่อยากได้จาก COVAX ทุกยี่ห้อ 44 ล้านโดส) / AZ ตรงจากบริษัท 1.1 ล้านโดส (ยอดซื้อตรงจากบริษัท 17 ล้านโดส)
เวียดนาม: AZ COVAX 2.5 ล้านโดส (ยอดที่อยากได้จาก COVAX ทุกยี่ห้อ 38.9 ล้านโดส) / AZ ตรงจากบริษัท 1.4 ล้านโดส (ยอดซื้อตรงจากบริษัท 30 ล้านโดส)
ดังนั้นจะเห็นว่า การเข้าโครงการ COVAX ช่วย “กระจายความเสี่ยง” และ “เพิ่มการเข้าถึง” วัคซีน AstraZeneca ให้กับสี่ประเทศนี้ได้จริงๆ ยังไม่นับโอกาสที่จะได้รับวัคซีนยี่ห้ออื่นๆ อีก (ตัวเลขด้านบนที่แสดงนับเฉพาะยี่ห้อ AZ เท่านั้น หลายประเทศได้รับวัคซีนยี่ห้ออื่นๆ จาก COVAX ด้วย อาทิ Pfizer, Moderna ฯลฯ)
และนั่นคือเหตุผลที่บริษัท AstraZeneca เอง ก็เคยแนะนำรัฐบาล ให้เข้าร่วมโครงการ COVAX ตั้งแต่เดือนกันยายน 2563
4. “ติดขัดข้อกฎหมาย ไม่สามารถจ่ายเงินซื้อล่วงหน้าโดยมีความเสี่ยงว่าจะไม่ได้ของ”
ความจริง: พ.ร.บ.ความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติ พ.ศ. 2561 ให้อำนาจกระทรวงสาธารณสุขออกประกาศเพื่อ “ซื้อวัคซีนล่วงหน้า โดยมีความเสี่ยงว่าจะไม่ได้ของ” ซึ่งกระทรวงก็ทำแบบนี้เลยในการมาขอ ครม. จองซื้อวัคซีน AstraZeneca ล่วงหน้า 26 ล้านโดส ตั้งแต่ 17 พฤศจิกายน 2563 ทั้งที่ตอนนั้นผลการทดลองเฟส 3 ยังไม่มีเลยด้วยซ้ำ (และไทยก็จ่ายเงินจองซื้อวัคซีนยี่ห้อนี้ล่วงหน้ามากถึง 60% ของราคาวัคซีน ขณะที่ COVAX ให้จ่ายมัดจำเพียง 33% ของราคาประเมินเท่านั้น ถ้าทำสัญญาแบบมีตัวเลือก สัญญาผูกมัดจ่ายมัดจำเพียง 16%)