ขวากหนามของ #วอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย
ขวากหนามของ #วอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย
21 มิถุนายน 2564 อ่าน #หนุ่มเมืองจันท์ เขียนถึงทีมวอลเลย์บอลสาวทีมชาติไทย ด้วยความปลื้มปริ่ม พวกเธอต้องเผชิญอุปสรรค ความท้อถอย...แต่มีอะไรที่เป็นไม่ได้บ้าง ...พวกเธอทำให้เป็นไปได้แล้ว!
.
รู้ไหมครับว่าทีมวอลเลย์หญิงไทยชุดนี้เคยคิดจะเลิกเล่นทีมชาติเมื่อประมาณ 9 ปีที่แล้ว
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อปี 2012
การคัดเลือกไปแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่ญี่ปุ่น
หลังจากลงเล่นจนแมตช์สุดท้าย
ทีมไทยชนะ”คิวบา”ได้
ทุกคนในทีมคิดว่าไทยได้ไปโอลิมปิกแน่
เพราะคู่ต่อไป คือ “ญี่ปุ่น” กับ “เซอร์เบีย”
เราแพ้”ญี่ปุ่น” 3:0
แต่ชนะ”เซอร์เบีย” 3:0
เห็นผลการแข่งขันแล้ว ทายไม่ยากว่า”ญี่ปุ่น”ต้องชนะ”เซอร์เบีย”แน่นอน
วันนั้น "ญี่ปุ่น"จะชนะเท่าไรก็ตาม.
"ไทย"ก็จะได้เข้ารอบ
ยกเว้นอย่างเดียวคือ "ญี่ปุ่น"แพ้
ครับ แล้ว"ญี่ปุ่น"ก็แพ้
คนในวงการอ่านออกว่าที่"ญี่ปุ่น"เลือกที่จะแพ้. เพราะจะได้เข้าไปอยู่"สายอ่อน"
แต่ถ้า"ชนะ"จะต้องไปอยู่"สายแข็ง"
คืนนั้น ทีมไทยนั่งเชียร์อยู่หน้าจอโทรทัศน์ในห้องพัก
ฝันว่า”ญี่ปุ่น”ชนะเมื่อไร
จะฉลองใหญ่กันเต็มที่
จากเสียงเฮดังลั่นใน 2 เซ็ทแรกที่"ญี่ปุ่น"ชนะ
เสียงเชียร์เริ่มเงียบลง
เมื่อ”ญี่ปุ่น”แพ้ในเซ็ทที่ 3
แล้วเสียงสะอื้นก็แทรกขึ้นมาแทนในช่วงเซ็ทสุดท้าย ก่อนทุกคนจะซบหน้าร้องไห้
ครับ "ญี่ปุ่น"แพ้"เซอร์เบีย"
คำถามที่ผมอยากรู้ คือ คืนนั้น"โค้ชอ๊อด"คุยอะไรกับนักวอลเลย์หญิงไทย
เขาปลุกปลอบใจคนที่ฝันสลายเช่นนี้อย่างไร
"เด็กทุกคนร้องไห้จนน้ำตาแทบเป็นสายเลือด ผมอยู่กับเขาทั้งคืน"
ที่ทุกคนไม่เคยรู้มาก่อนก็คือ. นักกีฬาเกือบทั้งทีมจะขอเลิกเล่นทีมชาติ
ทุกคนหมดกำลังใจ
ทั้งที่อีก 10 กว่าวัน ทีมนี้ต้องไปแข่ง"เวิล์ด กรังปรีซ์"ต่อ
ประโยคหนึ่งที่"โค้ชอ๊อด"พูดกับทุกคนก็คือ เรื่อง"ความฝัน"
เขาย้อนเวลากลับไปยังวันที่ทุกคนยังเป็นเด็กน้อย
ซ้อมกันอยู่ที่ยะลา
"จำกันได้ไหม พวกเอ็งเคยเขียนอะไรเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว"
วันนั้น"โค้ชอ๊อด"ให้เด็กกลุ่มนี้เขียนว่าทุกคนเป็นใคร
"เอ็งมีความฝันอะไรในวันนั้น อยากไปถึงตรงไหน"
..."จำได้ไหม"
จำได้ไหมว่าทุกคนบอกว่ารักกีฬานี้.
อยากเล่นวอลเลย์บอล
เป็น”คำถาม”ย้อนเวลา ที่กลายเป็น”จุดเปลี่ยน”สำคัญของทีมวอลเลย์หญิงไทย
เมื่อทุกคนพยักหน้า
"โค้ชอ๊อด"ตบท้ายสั้นๆ
“ถ้าเรารักวอลเลย์บอลจริง. ก็อย่าให้ใครมาทำลายเรา. ทำให้เราเลิกเล่นวอลเลย์บอลเด็ดขาด”
"โค้ชอ๊อด"บอกให้ทุกคนกลับไปลงสนามอีกครั้ง. ไปเล่นเวิล์ด กรังปรีซ์อย่างเต็มที่
"ตีชนะให้หมดทุกทีม. แล้วค่อยกลับไปร้องไห้ที่บ้านเรา"
เด็กทุกคนกลับลงไปสนามอีกครั้งด้วยหัวใจที่บอบช้ำ
แต่สู้เหมือนเดิม
"เราได้ที่ 4 ตีชนะทุกทีมที่ได้ไปโอลิมปิก"
แต่"เราไม่ได้ไปโอลิมปิค"
ผ่านไป 9 ปี ด้วยอายุที่มากขึ้น
มากที่สุด คือ 40 ปี
น้อยที่สุด 35 ปี
ถึงเวลาที่ทุกคนตัดสินใจวางมือจากทีมชาติ
ส่งไม้ให้กับรุ่นน้อง
แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ทีมชาติชุดปัจจุบันติดโควิด
ทั้ง 6 คนได้รับการร้องขอจากสมาคมวอลเล่ย์บอลให้ช่วยลงแข่งในนามทีมชาติอีกครั้ง
เป็นครั้งสุดท้าย
แม้จะไม่ได้ซ้อม ไม่ได้เตรียมตัว แต่ไม่มีใครลังเลใจ
ทุกคนตอบตกลงทันที
ถามว่าทำไม"ตำนาน" ทั้ง 6 คนจึงยอมกลับมาเล่นทั้งที่ร่างกายไม่พร้อม
คำตอบอาจอยู่ที่วันแรกที่ทุกคนเขียนถึง"ความฝัน" ของตัวเอง
เมื่อ"วอลเลย์บอล" คือ "ความฝัน"
คือ"ความรัก"
ทำในสิ่งที่เรารัก
ทำในสิ่งที่เราฝัน
...ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้
.