ทำไมรัฐอิสระเล็กๆอย่างนครวาติกันจึงยังมั่นคงอยู่ได้และไปอยู่ตรงใจกลางของกรุงโรม
เพื่อนๆเคยสงสัยมั้ยครับว่าทำไม"นครวาติกัน"จึงเป็นรัฐอิสระ ปกครองตนเอง และไม่ขึ้นกับการบริหารงานของอิตาลี
เราลองมาติดตามเรื่องราวของ "วาติกัน" นครแห่งคริสตศาสนากันดูครับ
ภูมิภาคยุโรปเป็นดินเเดนที่สวยงาม มีนักท่องเที่ยวให้เดินทางมาท่องเที่ยวกันเป็นจำนวนมาก
ประเทศอย่างอิตาลีนั้นเป็นเป้าหมายสำคัญของการเดินทางมาท่องเที่ยวยุโรปของผู้คนทั่วโลก โดยมีกรุงโรมเป็นหนึ่งในเมืองสำคัญที่มีสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญมากมายกระจายอยู่เต็มไปหมด
ที่ใจกลางของกรุงโรมนั้นมีจุดที่ดึงดูดความสนใจของนักท่องเที่ยวที่เรียกว่า
"นครรัฐวาติกัน"
เป็นนครที่เก่าเเก่เเละมีความสำคัญต่อคริสตศาสนาเป็นอย่างมาก จึงไม่น่าเเปลกใจเลยว่าจะมีนักท่องเที่ยวนิยมมาเที่ยวชมกันอย่างมากมายในเเต่ละวัน
วาติกัน / Vatican
State of the Vatican City เป็นรัฐอิสระที่มีอำนาจในการปกครองตนเอง มีพื้นที่ 250 ไร่ ตั้งอยู่ใจกลางของกรุงโรม โดยมีกำเเพงใหญ่ล้อมรอบเอาไว้
นครวาติกัน ถือว่าเป็นประเทศเอกราชที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก โดยมีสมเด็จพระสันตะปาปาเป็นผู้ปกครอง
เหตุผลที่ทำให้เกิด นครรัฐวาติกัน ขึ้นมานั้นเป็นเพราะในอดีตมีช่วงเวลาหนึ่งที่องค์พระสันตะปาปา นั้นมีอำนาจล้นฟ้า
เนื่องจากทรงเป็นประมุขของโรมันคาทอลิก ทำให้ทรงได้รับศรัทธาเเละอำนาจมากจนมามีอำนาจทางการเมืองที่เกี่ยวกับโลกภายนอกด้วย
พระองค์สามารถครอบครองดินเเดนตอนกลางของอิตาลีได้สำเร็จ โดยเรียกกันว่า ปาปาสเตท
โดยมีศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่ วาติกัน ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางกรุงโรม เเต่การที่พระองค์มีอำนาจทางการเมืองมาก เเละเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกิจการภายในของหลายอาณาจักรที่นับถือคริสตศาสนา รวมทั้งเรื่องของสงครามครูเสด ทำให้หลายอาณาจักเริ่มเกิดความไม่พอใจในอำนาจขององค์พระสันตะปาปา ที่วาติกัน ทำให้เกิดกระเเสต่อต้านอำนาจของพระองค์ จนในที่สุดอาณาเขตในการปกครองก็ค่อยๆ ถูกลิดรอนไปเรื่อยๆ จนเหลืออาณาเขตรอบๆ กรุงโรมเท่านั้นเอง
สำหรับการเกิดนครรัฐวาติกัน นั้นเริ่มจากการก้าวขึ้นมามีอำนาจเหนืออิตาลีของ พระเจ้าวิคเตอร์ เอมานูเอล ที่ 2 ได้ทรงให้ประชาชนในกรุงโรมลงมติว่าจะเข้าร่วมกับอิตาลีหรือจะอยู่กับวาติกัน ซึ่งในเวลานั้นผลการโหวตต้องการให้โรมเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของอิตาลี ทำให้องค์พระสันตะปาปา ปิอุสที่ 4 ในขณะนั้นไม่พอใจอย่างมาก จึงทรงเก็บตัวอยู่เเต่ในนครรัฐวาติกันเพียงอย่างเดียวจนสิ้นพระชนม์ ทำให้องค์พระสันตะปาปา องค์ต่อๆ มาถือว่าเป็นธรรมเนียมที่จะประทับอยู่เเต่เพียงในนครรัฐวาติกันเท่านั้น
จนเมื่อมาถึงยุคของมุสโสลินีปกครองอิตาลี ได้มีการทำสนธิสัญญา ลาเตรัน ระหว่างอิตาลี เเละนครรัฐวาติกัน โดยอิตาลีจะค้ำประกันในเรื่องของความปลอดภัยเเละอำนวยความสะดวกในเรื่องต่างๆ ให้กับนครรัฐวาติกัน เพื่อให้ องค์พระสันตะปาปา ได้ดำเนินกิจการต่างๆ ในการเผยเเพร่ศาสนาคริสต์ต่อไป จึงเป็นที่มาของนครรัฐวาติกัน ที่โด่งดังจนถึงทุกวันนี้
ภายในของนครวาติกันนั้นมีสถานที่สำคัญตั้งอยู่อย่างมากมาย โดยจากจำนวนพื้นที่รวมกว่า 250 ไร่นั้น 150 ไร่ จะเป็นที่ตั้งของวังวาติกันที่องค์พระสันตะปาปาจะประทับอยู่ ถือว่าเป็นอาคารที่มีความเก่าเเก่เเละสวยงามมาก
นอกจากนี้เเล้วยังมี วังกัสเตลกันดอลโฟ ตั้งอยู่ชานกรุงโรม ซึ่งเป็นอีกที่ประทับขององค์พระสันตะปาปา ยังมี มหาวิทยาลัยเกรโกเรียน, หอสมุดวาติกัน ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องของการเก็บรวบรวมหนังสือเก่าหายากมากมายไว้ที่นี่เเละคัมภีร์โบราณที่ประเมินค่าไม่ได้ก็เก็บไว้ที่นี่ด้วยเช่นกัน
นักท่องเที่ยวทั่วไปจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าชมในบริเวณเเห่งนี้
นอกจากนี้เเล้วในส่วนของอุทยานวาติกันนั้นก็ถือว่ามีความวิจิตรเเละสวยงามเป็นอย่างยิ่ง เเละภายในยังมีสถานที่ทั่วไปอย่างสถานีรถไฟวาติกัน สถานีวิทยุของวาติกัน หรือจะเป็นที่ทำการไปรษณีย์วาติกัน ที่นักท่องเที่ยวนิยมไปซื้อเเสตมป์เพื่อเป็นที่ระลึก รวมทั้งมีสถานีรถไฟวาติกันที่เก่าเเก่เเละใช้ในการสัญจรของบาทหลวงเเละองค์พระสันตะปาปา รวมทั้งกลายมาเป็นเส้นทางของการท่องเที่ยวในปัจจุบันไปเเล้ว นอกจากนี้ก็ยังมีทั้งธนาคารวาติกัน เเละร้านค้าปลอดภาษีที่มีสินค้ามากมายให้นักท่องเที่ยวได้มาเลือกช็อปกัน
เเต่จุดที่ได้รับความสนใจอย่างมากที่สุดของการมาเที่ยวใน นครรัฐวาติกัน เห็นจะเป็น มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ หรือที่จะเรียกกันว่า บาซิลลิกาดิซานปิเอโตร ที่สร้างมาในปี ค.ศ.1506 ในสมัยของ สันตะปาปา จูเลียสที่ 2 โดยต้องการให้เป็นจุดที่เเสดงถึงความยิ่งใหญ่ของคริสตจักร เเละเป็นศูนย์กลางของคริสตศาสนา โดยใช้เวลาในการก่อสร้างยาวนานอย่างมาก ผ่านสมัยของพระสันตะปาปา ถึง 20 พระองค์ เเละสูญเสียงบประมาณในการก่อสร้างไปเป็นมูลค่ากว่า 300 ล้านเหรียญเลยทีเดียว
ภายในวังวาติกันเป็นสถาปัตยกรรมเเบบบาร็อค ที่มีความสวยงามเเละวิจิตรตระการตามาก
โดยมีผลงานของเหล่าศิลปินดังไม่ว่าจะเป็นผลงานของ มิเกลันเจโล, ราฟาเอล หรือ บรามันเต ส่วนภายนอกนั้นเป็นฝีไม้ลายมือของ แบร์นินีและจ็อตโต โดยมีจุดเด่นอยู่ที่ประติมากรรมของนักบุญปีเตอร์ ที่เป็นผลงานของอาร์โนลโฟ ดี กัมบิโอ โดยบริเวณใต้พื้นของลานกว้างนั้นจะเป็นสุสานของเหล่านักบุญเเห่งคริตจักร ไม่ว่าจะเป็นนักบุญปีเตอร์ หรือพระสันตปาปาจอห์น ปอลที่ 2 โดยจุดนี้จะเปิดให้คุณได้เข้าชมทุกวัน โดยเวลาเปิดปิดจะเเตกต่างกันออกไปตามเเต่ละฤดูกาล
พิพิธภัณฑ์นครวาติกัน
ส่วนอีกสถานที่ท่องเที่ยวใน Vatican ที่ไม่ควรพลาดก็คือ พิพิธภัณฑ์นครวาติกัน ซึ่งเป็นเเหล่งรวบรวมวัตถุโบราณจำนวนมากตั้งเเต่สมัยโรมัน เเละมีผลงานศิลปะในยุคเรเนซองส์ ที่มีจำนวนมากมายเเละมีคุณค่าอย่างมาก โดยมีปริมาณนักท่องเที่ยวที่เข้ามาชมในเเต่ละปีกว่า 5 ล้านคนเลยทีเดียว โดยพิพิธภัณฑ์เเห่งนี้สร้างมาตั้งเเต่ปี ค.ศ.1506 โดยพระสันตะปาปาจูเลียสที่ 2 โดยจุดที่ไม่ควรพลาดมาชมคือ แกลเลอรี่งานศิลปะของ Pinacoteca Vaticana ที่รวมรวมงานศิลปะจากโบสถ์มากมาย โดยมีบางชิ้นเป็นผลงานของจิออตโต้, ดาวินชี่ เเละราฟาเอล นอกจากนี้เเล้วก็ยังมีโซนของการจัดเเสดงวัตถุโบราณจากอียิปต์จำนวนมากเลยทีเดียว ถือว่าเป็นเป็นพิพิธภัณฑ์อันดับต้นๆ ของโลกที่ไม่ควรพลาดมาเที่ยวชมให้ได้้
อีกหนึ่งในสีสันที่มีความน่าสนใจสำหรับการเดินทางมาเที่ยวยัง นครรัฐวาติกัน ก็คือเหล่าหมู่มวลทหารสวิสการ์ด ที่เเต่งกายด้วยชุดที่มีดีไซน์ล้ำสมัยอย่างมาก โดย ไมเคิล แองเจโล่ เเม้จะมีการปรับปรุงเล็กน้อยเเต่ก็ยังคงความเหมือนกับต้นฉบับอยู่นั่นเอง โดยมีนักท่องเที่ยวสนใจมาถ่ายรูปคู่กับพวกเขาเป็นจำนวนมากในเเต่ละวัน
ส่วนการเดินทางนั้น เมื่อคุณอยู่ในกรุงโรมให้เดินมาตามเส้นทางถนน Via della Conciliazione ก็จะเข้าสู่ลานกว้างของมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ หรือใครใช้บริการของรถไฟมาก็ให้คุณมาลงที่สถานีรถไฟเมโทร Ottaviano จากนั้นก็เดินตามถนน Via Ottaviano ไม่นานก็จะถึงเเล้ว
เครดิตภาพและข้อมูล
www.checkinchill.com












