ระบบป้องกันภัยทางอากาศระยะปานกลางอัตตาจรแบบ FK-3 (HQ-22) ของหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง (สอ.รฝ.) กองทัพเรือไทย
ระบบป้องกันภัยทางอากาศระยะปานกลางอัตตาจรแบบ FK-3 (HQ-22) ของหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง (สอ.รฝ.) กองทัพเรือไทย
ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2562 สำนักงานจัดหายุทโธปกรณ์ทหารเรือ (Naval Acquisition Management Office) ได้ออกเอกสารประกาศราคากลางสำหรับโครงการจัดหาอาวุธปล่อยนำวิถีพื้นสู่อากาศระยะปานกลางแบบเคลื่อนที่ (Mobile Medium-Range Surface-to-Air Missile) เฟส 1 วงเงินงบประมาณที่ได้รับจัดสรร 1,970 ล้านบาท (62.76 Million USD) แหล่งที่มาของราคากลาง (ราคาอ้างอิง) ได้มาจากการสืบราคาจากท้องตลาด โดยสอ.รฝ. มีความต้องการระบบป้องกันภัยทางอากาศรวม 4 ระบบ และในปลายปี 2563 มีข่าวว่าสอ.รฝ. ได้เลือกระบบป้องกันภัยทางอากาศแบบ FK-3 จากบริษัท China Aerospace Science & Industry Corporation Limited (CASIC) ประเทศจีน
ตามข้อมูล FK-3 เป็นระบบอาวุธป้องกันภัยทางอากาศระยะปานกลาง-ไกลที่สามารถทำงานได้ทุกสภาพอากาศทั้งกลางวันและกลางคืน ถูกออกแบบมาให้สกัดกั้นเครื่องบินรบ, เครื่องบินปีกตรึง, อากาศยานปีกหมุนรวมถึงเฮลิคอปเตอร์โจมตีติดอาวุธ, อากาศยานไร้คนขับ, จรวดร่อน, ขีปนาวุธทางยุทธศาสตร์, อาวุธปล่อยนำวิถีอากาศสู่พื้น สามารถทำงานเป็นระบบสแตนด์อะโลนหรือร่วมมือกับ FK-3 อื่น ๆ หรือร่วมมือกับระบบป้องกันภัยทางอากาศอื่น ๆ โดยตัวขีปนาวุธของ FK-3 นั้น มีโหมดนำวิถีติดตามเป้าหมาย 2 โหมด คือ นำวิถีด้วยคลื่นวิทยุ และเรดาร์กึ่งแอคทีฟ (Radio Command Guidance + Semi-Active Radar Homing: SARH) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน และความสามารถในการป้องกันการติดขัดอย่างมาก ซึ่งภายใต้สถานการณ์ของการรบกวนทางอิเล็กทรอนิกส์ที่รุนแรง จะเปลี่ยนเป็นนำวิถีด้วยคลื่นวิทยุโดยอัตโนมัติ
ระบบ FK-3 สามารถยิงขีปนาวุธทั้งหมด 12 นัดต่อเนื่องพร้อมกัน (แท่นยิง 3 แท่น) เพื่อสกัดกั้นเป้าหมายจำนวน 6 เป้าหมาย (เป้าหมายละ 2 นัด) และสามารถขยายการทำงานสกัดกั้นเป้าหมายเป็น 36 เป้าหมาย ด้วยขีปนาวุธ 72 ลูก โดย FK-3 จำนวน 1 ระบบ จะประกอบด้วยรถที่บังคับการ จำนวน 1 คัน, รถเรดาร์ H-200 จำนวน 1 คัน และรถฐานแท่นยิงแบบยกตั้งอัตตาจร (TEL: Transporter-Erector-Launcher) จำนวน 3 คัน ซึ่งแต่ละแท่นยิงมีชุดบรรจุอาวุธปล่อยนำวิถีทรงกระบอก 4 นัด รวมทั้งระบบจะมีอาวุธปล่อยนำวิถีรวม 12 นัด และรถโหลดขีปนาวุธ
สเปคของ FK-3
ประเภท: ระบบป้องกันภัยทางอากาศ/ อาวุธปล่อยนำวิถีพื้นสู่อากาศ, อาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้อากาศยาน
ความยาวขีปนาวุธ: 6.8-7 เมตร
เส้นผ่านศูนย์กลางของขีปนาวุธ: 0.7 เมตร
น้ำหนักขีปนาวุธ: 1,300 กิโลกรัม
น้ำหนักหัวรบ: 180 กิโลกรัม
ประเภทหัวรบ: การกระจายตัวของระเบิดแรงสูง (HE-FRAG: High Explosive Fragmentation)
ระบบนำวิถี: Radio Command Guidance + Semi-Active Radar Homing
กลไกการระเบิด: Radio proximity fuze
เครื่องยนต์: มอเตอร์จรวดแข็ง
ระยะยิงไกล: 5-100 กิโลเมตร
ระยิงที่ความสูง: 164-88,582 ฟุต (50 เมตร - 27 กิโลเมตร)
ความเร็วของขีปนาวุธ: 6 มัค (7,350.26 กิโลเมตรต่อชั่วโมง, 122.50 กิโลเมตรต่อนาที, 2.04 กิโลเมตรต่อวินาที)
เรดาร์: เรดาร์ตรวจจับและชี้เป้ามัลติฟังก์ชั่นแบบ H-200 Phased Array Radar เป็นเรดาร์ G-Band มีระบบพิสูจน์ทราบและแยกแยะเป้าหมายว่าเป็นฝ่ายตัวเองหรือฝ่ายศัตรู (Identification Friend & Foe: IFF) มีช่วงการตรวจจับสูงสุด: ≥120 กม. ที่ความสูง 8 กม. และ ≥50 กม. ที่ความสูง 0.1 กม. การติดตามที่มีเสถียรภาพสูงสุด: ≥90 กม. ที่ความสูง 8 กิโลเมตร และ ≥45 กม. ที่ความสูง 0.1 กม.ลักษณะเป้าหมาย ค่า RCS 2m2 ความเร็วสูงสุดของเป้าหมาย 750 เมตรต่อวินาที (2.18 มัค) ความสามารถในการติดตาม สามารถติดตามที่แม่นยำ 3 เป้าหมาย และตรวจสอบ 3 เป้าหมาย
ตัวแท่นยิงใช้รถ 8x8 แบบ TA5450 ที่มีน้ำหนัก 25 ตัน ใช้เครื่องยนต์ดีเซล Deutz BF6M1015CP กำลังขับ 517 แรงม้า และกระปุกเกียร์แบบ WSK400 พิสัยเดินทาง 800 กิโลเมตร มีความเร็วสูงสุด 65 กม./ชม
ซึ่งถ้าตั้งระบบ FK-3 จำนวน 1 ระบบ ไว้ที่หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง จะสามารถป้องกันภัยทางอากาศให้กับบริเวณฐานทัพเรือสัตหีบ (Sattahip Naval Base) ได้ทั้งหมด รวมถึงบริเวณสนามบินอู่ตะเภา, นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด, ท่าเรือแหลมฉบัง, เมืองพัทยา และสถานที่อื่น ๆ (สามารถดูบริเวณป้องกันได้จากรูปที่แนบมา)
โดยหากสอ.รฝ. จัดหา FK-3 ครบจำนวน 4 ระบบ จะทำให้มีรถเรดาร์ H-200 จำนวน 4 คัน รถแท่นยิง 12 คัน ซึ่งสามารถยิงเป้าหมายได้พร้อมกัน 24 เป้าหมาย โดยใช้ขีปนาวุธ 48 นัด (เป้าหมายละ 2 นัด)