ส.ส.เพื่อใคร มั่วข้อมูล ปลุกกระแสเฟคนิวส์ CPTPP
เห็นข่าว ส.ส. เพื่อไทย คุณมนพร เจริญศรี ปล่อยแก่ เอ๊ย ปล่อยไก่ กลางโซเชียล เรื่อง ซีพีเป็นเจ้าของ CPTPP แล้ว ได้แต่ร้องเฮ้อ กับคุณภาพส.ส.ไทยวันนี้ อยากมาเป็นตัวแทนประชาชน แต่หาคุณภาพไม่ได้เลย จะพูดจะทำอะไร ไม่หาข้อมูลถูก ๆ มาพูด กลับเอาข้อมูลมั่ว ๆ มาปั่นให้คนเกลียดกันซะงั้น
วันนี้เลยไปหาข้อมูลเบื้องต้นของ CPTPP มาให้ เผื่อใครอยากรู้ว่า CPTPP ย่อมาจากอะไร มีซีพีเป็นเจ้าของจริงหรือมั่ว
-----------------------
CPTPP มีชื่อเต็มว่า Comprehensive and Progressive Agreement of Trans-Pacific Partnership แปลเป็นไทยว่า “ความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้า สำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก”
ซึ่งเป็นความตกลงด้านการค้าเสรี ที่มีเนื้อหาครอบคลุมเรื่อง การค้า การบริการ และการลงทุน ให้ประเทศสมาชิกปฏิบัติตามมาตรฐานและกฎระเบียบเดียวกัน ในประเด็นของการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา มาตรฐานแรงงาน กฎหมายสิ่งแวดล้อม รวมถึงกลไกแก้ไขข้อพิพาทระหว่างรัฐบาลและนักลงทุนต่างชาติ
CPTPP มีรากฐานมาจาก TPP (Trans-Pacific Partnership) หรือความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก เริ่มในปี 2549 ที่ต้องการเชื่อมโยงภูมิภาคเอเชีย อเมริกาใต้ และแปซิฟิก เข้าด้วยกันจนมีสมาชิกทั้งหมด 12 ประเทศ แต่เมื่อปี 2560 สหรัฐอเมริกาได้ถอนตัวออกไป ประเทศสมาชิกที่เหลือตัดสินใจเดินหน้าความตกลงต่อ โดยใช้ชื่อใหม่ว่า CPTPP ปัจจุบันมีสมาชิก 11 ประเทศ คือ ญี่ปุ่น แคนาดา เม็กซิโก เปรู ชิลี ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สิงคโปร์ มาเลเซีย บรูไน และเวียดนาม
ประโยชน์ที่จะได้รับจาการเข้าร่วม CPTPP
- เพิ่มโอกาสการส่งออกของไทยไปยังประเทศสมาชิก CPTPP โดยเฉพาะตลาดแคนาดาและเม็กซิโก ซึ่งมีสินค้าหลัก ได้แก่ อาหารทะเลแปรรูป, ข้าว, ผลิตภัณฑ์ยาง, รถยนต์และส่วนประกอบ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
- ช่วยดึงดูดการลงทุนที่ต้องการใช้ไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออกไปยังประเทศสมาชิก CPTPP (หากไม่เข้าร่วม จะเสียโอกาสให้มาเลเซียกับเวียดนาม)
- เพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน จากการปรับปรุงกฎระเบียบภายในประเทศ เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานของ CPTPP เช่น กฎหมายสิทธิแรงงาน การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การสนับสนุนการแข่งขันอย่างเท่าเทียมระหว่างธุรกิจชาวท้องถิ่นและชาวต่างชาติ ซึ่งจะเป็นผลบวกกับไทยในระยะยาว
- การตัดสินใจเข้าร่วม CPTPP น่าจะเป็นผลดีกับไทยมากกว่า เพราะจะกระตุ้นให้ทุกภาคส่วนภายในประเทศปรับตัวรับความเปลี่ยนแปลงและการแข่งขันที่มากขึ้น
ผลกระทบจากการเข้าร่วม CPTPP
- ภาคบริการ : ประเทศสมาชิกสามารถระบุหมวดธุรกิจบริการที่ไม่ต้องการเปิดเสรีได้ สำหรับไทยที่เป็นประเทศที่ค่อนข้างปิดในหมวดบริการ การเปิดเสรีนี้อาจทำให้ธุรกิจบริการภายในประเทศเสียประโยชน์ให้นักลงทุนต่างชาติไป
- อุตสาหกรรมเกษตรจะเผชิญกับการแข่งขันมากขึ้น โดยเฉพาะสินค้าเกษตรจากแคนาดา เช่น ปุ๋ย และถั่วเหลือง ที่จะเข้ามาตีตลาดไทยหลังการเปิดเสรีด้านการค้า
- CPTPP มีข้อบัญญัติให้ประเทศสมาชิกต้องเข้าร่วมในอนุสัญญาการคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ (UPOV) ที่เปิดโอกาสให้ต่างชาติสามารถนำพันธุ์พืชพื้นเมืองไทยไปทำการวิจัย เพื่อสร้างพันธุ์พืชใหม่ แล้วจดสิทธิบัตรได้ ข้อนี้ส่งผลเสียต่อเกษตรกรไทยโดยตรง เพราะถ้านำพันธุ์พืชใหม่นี้มาปลูกแล้วจะไม่สามารถเก็บเมล็ดไปปลูกต่อได้เหมือนเมื่อก่อน ต้องซื้อเมล็ดใหม่เท่านั้น ทำให้ต้นทุนการเกษตรยิ่งสูงขึ้น
- ธุรกิจอื่น ๆ ในไทยต้องเตรียมรับมือกับการรุกตลาดของต่างชาติ เนื่องจาก CPTPP จะเปิดโอกาสทางการแข่งขันให้นักลงทุนต่างชาติมากขึ้น ทั้งจากการลดภาษีสินค้านำเข้า การเปิดโอกาสให้ธุรกิจต่างชาติเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดซื้อจัดจ้างของรัฐบาล รวมถึงการอนุญาตให้นักลงทุนต่างชาติเข้าซื้อกิจการท้องถิ่นได้
ความกังวล
- จะส่งผลให้เกิดการผูกขาดด้านสิทธิบัตรการผลิตเมล็ดพันธุ์พืชใหม่ ๆ รวมถึงอาจทำให้เกษตรกรไม่สามารถเก็บพันธุ์พืชไปเพาะปลูกต่อได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมล็ดพันธุ์ข้าวที่บรรพบุรุษพัฒนาสายพันธุ์ตามวิถีธรรมชาติ รวมถึงหน่วยงานต่าง ๆ ปรับปรุงพันธุ์ขึ้น ซึ่งพันธุ์ข้าวไทยได้รับความนิยมเป็นอันดับ 1 ของโลก
- ผลกระทบต่อระบบการผลิตยา เวชภัณฑ์ เครื่องมือแพทย์ ซึ่งจะต้องนำมาใช้ดูแลรักษาชีวิตและสุขภาพของคนไทย
- ผลกระทบหลายอย่าง โดยรวมแล้วเห็นได้ชัดว่าจะได้ไม่คุ้มเสีย ยังไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนต้องเข้าร่วม
- จีดีพีจะเพิ่มขึ้น 12% ซึ่งคิดเป็นมูลค่าน้อยมาก
ข้อโต้แย้ง
Q: บริษัทต่างชาติสามารถเข้ามาดึงเมล็ดพันธุ์พืชพื้นเมืองของไทยไปปรับปรุง ดัดแปลงได้อย่างอิสระ
A: เป็นเรื่องจริงแค่ส่วนเดียว เพราะปัจจุบันไทยมี พ.ร.บ.คุ้มครองพันธุ์พืช ปี 2542 ที่ให้สิทธิแก่หน่วยงาน เอกชน หรือนักวิจัย ที่ต้องการนำพันธุ์พืชไปปรับปรุงได้ ดังนั้น ประเด็นที่มีการโจมตีเรื่อง UPOV ใน CPTPP จึงไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัว เพราะมีในไทยมานานแล้ว
Q: เกษตรกร ชาวนา ชาวไร่ ชาวสวน ต้องซื้อเมล็ดพันธุ์จากนายทุนในราคาที่แพงขึ้น
A: ไม่จำเป็น เพราะชาวนา ชาวไร่ มีสิทธิที่จะเลือกซื้อได้ว่า จะซื้อเมล็ดพันธุ์จากใคร ร้านไหน บริษัทไหน นายทุนคนไหนก็ได้ ไม่ได้มีการบังคับว่าต้องซื้อจากร้าน A ร้าน B หรือนายทุน A นายทุน B เพราะเขาไม่ได้ผูกขาดตลาด หรือเข้ามายึดตลาดเมล็ดพันธุ์ของไทย
นอกจากนี้ หน่วยงานภาครัฐของไทยอย่างกรมวิชาการเกษตร ยังแจกเมล็ดพันธุ์ฟรีให้แก่เกษตรกรไทยเป็นประจำอยู่แล้ว แต่ไม่ค่อยรู้กัน หากเกษตรกรประสงค์จะนำไปเพาะปลูกก็ติดต่อขอรับได้
Q: ประเด็นเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้ไม่ได้
A: ไม่จริง ตามกฎหมายแล้วเจ้าของลิขสิทธิ์เมล็ดพันธุ์นั้น ๆ มีสิทธิในการเป็นผู้ขายได้แต่เพียงผู้เดียว แต่เป็นแค่กฎห้ามเกษตรกรนำเมล็ดพันธุ์ไปขายต่อ หรือขายแข่งกับเจ้าของพันธุ์เท่านั้นเอง (กรณีที่เกษตรกรไปใช้พันธุ์ปรับปรุงของเขา หากอยากขาย ต้องไปขออนุญาตจากเจ้าของพันธุ์รายนั้น ๆ ก่อน นอกจากนั้นไม่มีปัญหาอะไร สามารถทำได้ทุกอย่าง เก็บเมล็ดพันธุ์รุ่นใหม่ ๆ ไว้ใช้ได้ แต่สาเหตุที่ไม่ค่อยนิยมเก็บเมล็ดพันธุ์รุ่นใหม่ ๆ ไว้ใช้ เพราะโตมาจะไม่ค่อยเหมือนรุ่นแรก ๆ ที่ซื้อมา จึงนิยมซื้อเมล็ดมาลงใหม่มากกว่า)
Q: บริษัทต่างชาติ หรือนายทุนรายใหญ่จะนำพันธุ์พืชพื้นเมืองไปจดทะเบียนเป็นทรัพย์สินทางปัญญาของตัวเอง
A: ไกลความจริงไปมาก ในความเป็นจริงเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ เนื่องจากพันธุ์พืชพื้นเมืองชนิดต่าง ๆ ได้รับการคุ้มครองอยู่แล้ว มีกฎห้ามนำไปจดทะเบียน จึงไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวล
Q: ผลกระทบต่อระบบการผลิตยา เวชภัณฑ์
A: CPTPP มีกฎเกณฑ์ที่ผ่อนปรนขึ้นกว่า TPP ทำให้ไทยได้ประโยชน์ในส่วนนี้เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น ในอุตสาหกรรมยา TPP เคยบังคับให้ประเทศสมาชิกต้องยอมรับการผูกขาดด้านยาเพิ่มขึ้น ทำให้การเข้าถึงยาสามัญเป็นเรื่องยากสำหรับภาครัฐและประชาชนทั่วไป ค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลก็จะยิ่งสูงตาม แต่สุดท้ายข้อตกลงนี้ถูกระงับไป ไทยจึงไม่จำเป็นต้องเสียประโยชน์ส่วนนี้แล้วหากต้องการเข้าร่วมกับ CPTPP
บทสรุป
หากถามหาบทสรุปสำหรับเรื่องนี้ แต่ละคนคงต้องพิจารณากันเอง เพราะเหรียญมีสองด้าน คนเรายังมีทั้งด้านหน้าและด้านหลัง บางคนหันหลังสวยกว่า แต่เราก็ต้องทนมองหน้ากันไป เรื่องนี้ก็เช่นกัน หากจะบอกว่าเข้าร่วมแล้วใครได้ประโยชน์ ใครเสียประโยชน์ เอาจริง ๆ ก็พูดได้ไม่เต็มปาก เพราะในได้มีเสีย ในเสียมีได้ อยู่ทุกข้อ สงสารก็แต่คนตัดสินใจเรื่องนี้ ที่ต้องคิดพิจารณากันจนสมองแทบระเบิด แต่ไม่ว่าผลจะออกมาทางไหน ก็เจ็บตัวอยู่ดี เอาเป็นว่า ให้กำลังใจกัน ไม่ชี้นำให้เข้าทางใคร ในยามนี้ประเทศชาติต้องการความสงบสุข
-----------------------
อ้างอิงจาก: งานสัมมนา CPTPP