"ธนาธร" จวก "นายกฯ" หลังจะซื้ออาวุธ -ไม่ยอมแบ่งงบฯไปช่วยหน่วยอื่น
นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ โพสต์ข้อความเฟซบุ๊ก ส่วนตัว Thanathorn Juangroongruangkit - ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ระบุว่า
(1) “ที่กองทัพบอกว่ามีความจำเป็นต้องเอางบไปซื้ออาวุธในช่วงนี้ ถูกต้องแล้วเพราะเป็นไปตามขั้นตอนปกติ ผมขอถามว่าอย่างนั้นเราจะมีผู้นำไปทำไม?
หน้าที่ของผู้นำในภาวะวิกฤติ คือการจัดสรรทรัพยากร ต้องโยกคนไปที่ไหน ต้องโยกงบประมาณไปที่ไหน จะเอางบประมาณจากที่ไหนไปที่ไหน ฯลฯ นี่คือผู้นำ เพราะผู้นำคือคนที่มีอำนาจ คือคนที่มีทรัพยากร คือคนที่จะต้องกระจายทรัพยากรไปในหน่วยงาน ไปในประเด็น ไปในพื้นที่ที่ต้องการ เหมาะสม ตามแต่ยุทธศาสตร์ และวิสัยทัศน์ของผู้นำคนนั้น ๆ
ดังนั้น ถ้าจะบอกว่าทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอน แล้วเราจะมีผู้นำไปทำไม? ถ้าทุกอย่างเป็นแบบล่างขึ้นบนทั้งหมด เราก็ไม่ต้องมีผู้นำก็ได้ ประเทศนี้ปกครองโดยข้าราชการไปเลย ไม่ต้องมีการเลือกตั้ง
การจัดสรรทรัพยากรในประเทศไทยมีปัญหาแบบนี้มาตลอด ผมยกตัวอย่าง ในปี 2560 กระทรวงกลาโหมมีบุคลากรทั้งหมด 3.96 แสนคน ผ่านไปสามปีเพิ่มขึ้นเป็น 4.8 แสนคน เท่ากับว่าในเวลาเพียงสามปี ตั้งแต่ 2560-2563 จำนวนบุคลากรของกระทรวงกลาโหม (ถ้าไม่นับทหารเกณฑ์) เพิ่มขึ้น 21.2%
แต่ในช่วงเวลาเดียวกัน 2559 ประเทศไทยมีจำนวนอัตราพยาบาลวิชาชีพอยู่ที่ 1.08 แสนคน ผ่านไปสี่ปี ในปี 2564 เพิ่มขึ้นเป็น 1.18 แสนคน หรือเพิ่มขึ้นเพียง 9.48% ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน
ลองใช้สามัญสำนึกตัดสินดู ว่าใน 5 ปีที่ผ่านมาเราควรเพิ่มจำนวนบุคลากรของกระทรวงกลาโหมหรือควรจะเพิ่มบุคลากรพยาบาลวิชาชีพมากกว่า? คุณไม่ต้องจบสูงเลย ใช้สามัญสำนึกง่าย ๆ ผมก็คิดว่าเราน่าจะตัดสินกันได้ ว่านี่คือการจัดสรรทรัพยากรที่ผิดฝาผิดตัวหรือไม่?
อีกหนึ่งตัวอย่างก็คืองบปี 2565 โดยภาพรวมลดลงประมาณ 6% แต่ทราบไหมว่างบประมาณของบุคลากรกระทรวงกลาโหมเพิ่มขึ้น 1% ในขณะที่งบประมาณแผ่นดินทั้งภาพรวมของปี 2565 ลดลง 6%
คำถามคือ จังหวะนี้ควรจะต้องเพิ่มบุคลากรของกองทัพ หรือว่าหมอ/พยาบาล? ทำไมคุณถึงปล่อยให้งบประมาณบุคลากรของกระทรวงกลาโหมเพิ่มขึ้น 1% ขณะที่งบประมาณภาพรวมลดลง 6%”
(2) “ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานออกมาพูดว่า ให้ประชาชนออกมาช่วยกันใช้จ่าย เอาเงินเก็บของทุกคนออกมาใช้ ทุกคนช่วยกันรักชาติ การเติบโตทางเศรษฐกิจ GDP จะเติบโตขึ้นไปถึง 4% ได้
การพูดแบบนี้สำหรับผมเป็นการพูดที่ไม่รับผิดชอบ วันนี้หนี้ครัวเรือนของประเทศไทยสูงมาก สูงจนน่าตกใจ ขึ้นไปเป็น 90% ของ GDP แล้ว ประเทศไทยมีหนี้ครัวเรือนอยู่ตอนนี้ก็ประมาณ 14 ล้านล้านบาท โดยเฉลี่ยคนไทยมีหนี้ 1.3 แสนบาทต่อครัวเรือน
แล้วคนที่มีเงินเก็บ ที่พอจะใช้จ่ายได้จริงๆก็คือคนที่มีเงินเท่านั้น ซึ่งคนที่มีเงินเก็บในบัญชีมากกว่า 1 ล้านบาทในปัจจุบันมีเพียงแค่ 1.4% ของบัญชีเงินฝากที่มีอยู่ในประเทศไทย ผมจึงรู้สึกว่าสิ่งที่รัฐบาลทำคือการทำด้วยความไม่เข้าใจหัวอกของคนจน ของคนที่กำลังต่อสู้
เรื่องนี้พูดกันเยอะในต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเทศที่พัฒนาแล้ว เขากำลังพูดเรื่องนี้กัน ว่าเศรษฐกิจของเขากำลังจะดีขึ้น เพราะประชาชนอัดอั้นมานาน ไม่ได้ใช้จ่าย เพราะฉะนั้นประชาชนจะไปเที่ยว จะเอาเงินฝากในช่วงที่ติดโควิด อยู่บ้านไม่ได้ใช้จ่ายออกมาใช้จ่าย
แต่สิ่งที่รัฐมนตรีพลังงานพูดมันผิดฝาผิดตัวจากสภาพพื้นฐานของประเทศไทยมาก ในช่วงโควิด ประชาชนในประเทศต่าง ๆ เหล่านั้นได้รับการดูแลอย่างดี ทำให้ผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อครัวเรือนมันไม่รุนแรงเหมือนประเทศไทย มันจึงเป็นเซนส์ของความรื่นเริง ความหวัง ว่าวัคซีนกำลังจะฉีดเสร็จแล้วนะ กำลังจะจัดการโควิดได้แล้วนะ ควรจะเริ่มออกมาใช้จ่ายได้แล้วนะ
มันเป็นเซนส์นั้น ที่จะบอกว่าควรออกมาใช้จ่ายแล้วเศรษฐกิจจะดีขึ้น แต่พอกลับมาดูเมืองไทย บัญชีเงินฝากทั้งหมดในประเทศไทย ส่วนมากถึง 80% มีเงินเก็บอยู่ไม่ถึง 50,000 บาท ดังนั้นตรงนี้มันผิดฝาผิดตัวมาก ที่จะออกมาเรียกร้องให้คนไทยใช้จ่าย
ปัจจุบันอย่าว่าแต่ใช้จ่ายเลย เขากำลังคิดกันอยู่ว่าจะออมอย่างไร จะลดค่าใช้จ่ายอย่างไร เพื่อให้อยู่รอดได้ถึงสิ้นเดือน ไม่มีคนที่มีเงินเหลือในบัญชีมากพอที่จะเอามาใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจไทย 1% ยังไม่รู้เลยว่าจะถึงหรือเปล่า”
อ้างอิงจาก: เพจ : Thailand Vision