โพธิรักษ์(สันติอโศก)ไม่ใช่ศาสนาพุทธและไม่ได้เป็นพระ/จุดประสงค์เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง
•• เริ่มต้นจาก สมณะโพธิรักษ์ และ สำนักสันติอโศกดำเนินการ ประกาศไม่ขึ้นต่อคณะสงฆ์ไทย หรือที่เรียกว่า นานาสังวาส และได้ดำเนินการปฏิบัติธรรมเผยแพร่ธรรมตลอดจนมีวัตรปฏิบัติในหลายลักษณะที่ แตกต่างจากคณะสงฆ์ไทย เป็นต้นว่า ไม่โกนคิ้ว, ไม่บูชาด้วยไฟ(คือจุดธูปเทียน), ไม่บูชาพระพุทธรูป, ประกาศตนเป็นพระโพธิสัตว์, ประกาศตนเป็นพระอริยบุคคล, ประกาศตนเป็นพระสารีบุตรกลับชาติมาเกิด, รู้พระธรรมและพระไตรปิฎกได้ด้วยตนเองและ ฯลฯ
•• ในการประชุมมหาเถรสมาคมเมื่อ ได้มีมติพิเศษแต่งตั้ง คณะการกสงฆ์ขึ้นภายใต้การนำของ สมเด็จพระธีรญาณมุนี เพื่อพิจารณากรณีสันติอโศกในฐานะที่มีพฤติกรรม ทำวิปริตจากพระธรรมวินัย, ทำพระธรรมวินัยให้วิปริต การพิจารณาดำเนินไปจึงได้ข้อยุติ
•• การประชุมครั้งสุดท้ายของ คณะการกสงฆ์ เกิดขึ้นที่ หอประชุมพุทธมณฑล มีมติเป็นเอกฉันท์ด้วยข้อความที่ หนักแน่น, รุนแรง
ว่า “...ถึงเวลาแล้วที่จะต้องมีการกำจัดกวาดล้างเสี้ยนหนามร้ายแห่งพระพุทธศาสนาเหล่านี้ให้หมดสิ้นไป.”
•• จะเห็นได้ว่าเป็นเนื้อหาที่ถือได้ว่า หนักแน่นสูงสุด, รุนแรงสูงสุด เพราะให้กระทำต่อเช่นเดียวกับที่ คณะสงฆ์สมัยพระพุทธเจ้ากระทำต่อพระเทวทัต ใครที่ศึกษา พุทธศาสนา, พุทธประวัติ มาดีคงจำได้ว่า พระเทวทัต พยายาม ปลงพระชนม์พระพุทธเจ้า, สร้างความแตกแยกในหมู่สงฆ์ โดยเริ่มต้นจากการบำเพ็ญตนให้ดูเสมือน เคร่งกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฉันมังสะวิรัติที่ พระพุทธเจ้าไม่เห็นด้วย พูดง่าย ๆ ว่าเป็นการให้ค่า สมณะโพธิรักษ์ ในระดับ พระเทวทัต ทีเดียว
•• จึงมี ประกาศนียกรรม บอกเล่าความเป็นมาแห่งคดีทั้งหมดและสรุปจบท้ายว่า “...ขอประกาศให้พระภิกษุสามเณรและพุทธศาสนิกชนได้ทราบข้อเท็จจริงโดยทั่วกัน และมิให้คบหาสมาคมหรือให้ความร่วมมือใด ๆ แก่พระโพธิรักษ์ และคณะที่พระโพธิรักษ์บวชให้ ขอให้พระภิกษุสามเณรและพุทธบริษัทได้ร่วมกันมนสิการและพึงสังวรระวัง พร้อมทั้งบอกกล่าวแจ้งให้ทราบต่อ ๆ กันอย่างทั่วถึง ทั้งนี้เพื่อมิให้ตกเป็นเครื่องมือของบุคคลเหล่านั้น ใช้บ่อนทำลายพระพุทธศาสนาและความมั่นคงของประเทศชาติต่อไป.” ประกาศนียกรรมมีค่าเท่ากับ บัพพาชนียกรรมนั่นเอง
•• จากนั้นไปเจ้าพนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง สมณะโพธิรักษ์ – และนักบวชชายหญิงแห่งสำนักสันติอโศก รวม 80 คน โดยได้ใช้นามเดิมแทน สมณะโพธิรักษ์ ว่า นายรัก รักพงษ์ ข้อหาที่เป็นฐานความผิดก็คือ แต่งกายเลียนแบบสงฆ์, สนับสนุนและบวชให้โดยไม่มีอำนาจตามกฎหมายคณะสงฆ์ คดีต่อสู้กันอยู่นาน 5 ปี ในที่สุด ศาลฎีกา จึงมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำเลย มีความผิด 27 กระทง – ลงโทษจำคุก 54 เดือน – โทษจำให้รอลงอาญา 2 ปี รวมทั้งคำพิพากษาอื่นเช่น ห้ามกระทำผิดซ้ำอีก, คุมประพฤติ เป็นอันน่าจะปิดฉากไป
•• แม้ว่า สมณะโพธิรักษ์ จะยังคงยืนยัน ปฏิบัติธรรมตามแนวการตีความเดิม และถือว่าเป็น พุทธสาวก แต่ในทางกฎหมายบ้านเมืองแล้ว ไม่ใช่
https://th.wikipedia.org/wiki/สมณะโพธิรักษ์