คนดี (สลิ่ม) ไม่มียางอาย?
“สลิ่ม” มีที่มาอย่างไร เป็นคำถามที่หลายคนเคยตั้งคำถามกับคนที่พูดคำนี้ เพื่อถามหาที่มาที่ไปของคำว่าสลิ่มที่ถูกต้อง ซึ่งในจุดเริ่มต้นของการกำเนิดสลิ่ม ก็คือการออกมาขับไล่รัฐบาลที่มีนายกรัฐมนตรีที่ชื่อทักษิณ ชินวัตร ในขณะนั้น และหลายคนมองว่าเป็นการแตกสปีชี่ส์ย่อยออกมาจากกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จากกลุ่มของนายสนธิ ลิ้มทองกุล เพราะรู้สึกไม่สะดวกใจที่จะใส่เสื้อเหลืองในการเคลื่อนไหวอีกต่อไป[1] นำโดยนายแพทย์ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ ใช้ชื่อกลุ่มว่าประชาชนพิทักษ์ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ หรือกลุ่มเสื้อหลากสี และไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดว่าบุคคลใดเป็นผู้ที่ตั้งสมญานามให้กับกลุ่มคนเหล่านี้เป็นคนแรก แต่นายสมบัติ บุญงามอนงค์ อธิบายไว้ว่ามาจากกลุ่มคนในเว็บบอร์ด pantip.com[3] และเข้าใจตรงกันว่าเป็นคำแสลงมีที่มาจากคำว่า “ซ่าหริ่ม” ซึ่งล้อไปกับการที่กลุ่มคนเหล่านี้ที่ใส่เสื้อหลากหลายสีเหมือนขนม “ซ่าหริ่ม”[2] นั่นเอง
แล้วนิยามของคำว่า “สลิ่ม” คืออะไร นักคิดนักเขียนหลายคนได้ให้นิยามแตกต่างกันออกไป ซึ่งตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันที่ยังนำมาใช้อยู่นี้ ขอบเขตของคำว่าสลิ่มก็ได้ขยายออกเรื่อย ๆ ก็ว่าได้ โดยคำ ผกา นักเขียนคนสำคัญที่ออกมาแสดงจุดยืนในขณะนั้นว่าเธอคือคนเสื้อแดง ได้ให้ความหมายของคำนี้ในครั้งแรก[4] อย่างได้อรรถรสไว้ว่า “บุคคลที่หลงคิดว่าตนมีสติปัญญา คุณสมบัติ ความเชื่อ ค่านิยม หรือจริยธรรมเหนือกว่าผู้อื่น ทว่าแท้จริงกลับไม่มีความคิดเป็นของตนเอง ไม่มีจุดยืนที่ชัดเจน ไม่สามารถใช้ตรรกะหรือแสดงเหตุผลตามหลักวิทยาศาสตร์ได้ จึงมักอ้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือมีความเชื่อที่ผิดอยู่เสมอ ทั้งยังปากว่าตาขยิบ มีอคติและความดัดจริตสูง เกลียดนักการเมือง และไม่ชอบประชาธิปไตยแบบมีผู้แทน”[4] ส่วนศ.ดร.สุรชาติ บำรุงสุข ได้นิยามสลิ่มคือ ชนชั้นกลางฝ่ายขวา[5] ซึ่งในปัจจุบันก็มีการขยายขอบเขตคำนิยามออกไปกว้างขวางมากยิ่งขึ้น โดยสำนักข่าว workpoint ได้สัมภาษณ์ผู้ที่เข้าร่วมชุมนุม[3] สรุปได้ว่า สลิ่มตรงข้ามกับความเปิดกว้าง ตรงข้ามกับการเปลี่ยนแปลง ตรงข้ามกับความเป็นธรรม และตรงข้ามกับประชาธิปไตย
ผู้เขียนจึงอยากจะเขียนเพื่อแสดงให้เห็นถึงความย้อนแย้งไร้ยางอาย ในสิ่งที่เกิดขึ้นในการเมืองของสลิ่ม หรือกลุ่มคนที่ฝ่ายประชาธิปไตยพูดติดตลกหรือประชดประชันว่าเป็น “คนดี” ที่เลือกจะมองข้ามหรือปิดหูปิดตาในตรรกะที่สังคมอารยะยอมรับ เพียงเพราะตรรกะนั้นขัดแย้งกับวิธีคิดที่ป่วยการณ์ที่จะเยียวยาของและเป็นโทษต่อกลุ่มของตนเอง เช่น การที่คนเหล่านี้ออกไปไล่คนโกงบ้านโกงเมือง ใช้ประชานิยมมอมเมาประชาชนคนรากหญ้า ตั้งแต่ปี 2549 อย่างทักษิณ ชินวัตร ร่วมกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ในการไล่ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในปี 2557 มีการเรียกร้องการปฏิรูปก่อนการเลือกตั้งและล้มล้างระบอบทักษิณ เป็นการปูทางนำไปสู่การรัฐประหารตั้งสองครั้งในรอบไม่ถึง 10 ปีด้วยซ้ำไป
การรัฐประหารที่ฉีกรัฐธรรมนูญ ลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชน คนที่ออกมาเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งโดยเร็วถูกยัดคดีนับไม่ถ้วน นี่ไม่ใช่การโกงอำนาจที่มีอยู่ในมือประชาชนเอาไว้ไว้แต่เพียงคนกลุ่มเดียวหรอกหรือ พอมีการร่างรัฐธรรมนูญ คนที่ออกมารณรงค์ไม่รับก็โดนคดีกันอย่างถ้วนหน้าทั่วถึง โดยอ้างว่าคนที่โดนคดีนั้นบิดเบือนเนื้อหา[6] จนถึงปัจจุบันนี้ผู้เขียนเองยังมองไม่เห็นเลยว่ามีการบิดเบือนตรงไหน โดยเฉพาะประเด็นคำถามพ่วงสว.250 คน ที่มาจากการแต่งตั้งของหัวหน้าคณะรัฐประหาร คสช. นั่นก็คือตัวของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เพื่อมาเลือกตนเองให้กลับเข้ามาสืบทอดอำนาจในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป นี่ไม่ใช่เผด็จการรัฐสภาที่สลิ่มเคยสร้างวาทกรรมเหล่านี้เพื่อโจมตีนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งหรือ พร้อมกับการเขียนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่หลายคนมองว่าจะต้องถูกนำมาใช้กลั่นแกล้งทางการเมืองอย่างแน่นอน ถ้าเกิดว่าพรรคเพื่อไทย พรรคอนาคตใหม่ และพรรคฝั่งประชาธิปไตยได้มีการจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จ เพราะมีการเขียนเนื้อหาไว้อย่างกว้าง สามารถตีความให้คุณกับกลุ่มตนเองและให้โทษต่อกลุ่มการเมืองตรงข้ามได้
พอจะมีการเลือกตั้งก็เกิดข้อครหาว่ามีการใช้พลังดูดดูดเอานักการเมืองที่พวกเขาเคยด่าอย่างสาดเสียเทเสียว่าโกงมหาศาลมาอยู่ในพรรคของตนไม่ยั้ง อย่างหน้าไม่อาย หลายคนเคยเป็นแกนนำเสื้อแดง ที่สลิ่มมองว่าเป็นพวกเผาบ้านเผาเมือง หลายคนเคยเป็นคนของพรรคเพื่อไทย ที่สลิ่มเกลียดนักเกลียดหนา เรียกว่าถึงขั้นเกลียดเข้ากระดูกดำเลยก็ว่าได้ บางคนมีคดีติดตัว รัฐมนตรีบางคนมีข้อครหาเกี่ยวกับคดีค้ายาเสพติด ส.ส.บางคนมีคดีรุกป่า แต่สลิ่มกลับไม่สนใจกับนักการเมืองโกงที่พึ่งย้ายมาเหล่านั้นเลย หรือเป็นเพราะเมื่อคนเหล่านั้นอยู่กับคนที่สลิ่มชื่นชอบ ก็สามารถสลัดทิ้งหลักการที่ตนเองเคยพ่นน้ำลายใส่คนอื่นออกไปอย่างหน้าไม่อาย
สุดท้ายสลิ่มไม่มีความละอายใจเลยหรือ กับสิ่งที่พวกตนเคยพูดโจมตีกล่าวหานักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งที่สามารถตรวจสอบได้ แต่กลุ่มคนดีที่มาจากการรัฐประหารลอกพฤติกรรมมาทำตามและเลวร้ายกว่านักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งทำด้วยซ้ำ และไม่สามารถตรวจสอบหรือแตะต้องคนเหล่านี้ได้เลย หรือว่าพวกเขาพร้อมที่จะลืม พร้อมที่จะสลัดทิ้งหลักการทุกอย่างเพื่อปกป้องกลุ่มคนดีที่ไม่มีอะไรยึดโยงกับประชาชนเลย หรือถ้ายังมีสลิ่มที่คิดได้และมียางอายกับสิ่งที่พวกตนเคยก่อไว้ ควรออกมาขอโทษลูกหลานคนรุ่นใหม่ หรือคนรุ่นก่อน ที่ออกมาต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และมีราคาที่ต้องจ่ายอย่างประเมินค่าไม่ได้ แล้วออกมายืนเคียงข้างฝ่ายประชาธิปไตยที่ตอนนี้ปากกาของผู้ใช้กฎหมายและปลายกระบอกปืนของผู้มีอำนาจ กำลังหันมาพร้อมที่จะทำลายประชาชนเพื่อรักษาอำนาจให้พวกพ้องตนเองอยู่ในอำนาจอย่างมั่นคงสถาพร นี่เป็นสิ่งที่สลิ่มควรคิดได้ถ้ามียางอายมากพอ
อ้างอิงจาก: [1] https://prachatai.com/journal/2011/11/37957
[2] https://www.sanook.com/campus/1399431/
[3] https://workpointtoday.com/political-terms-salim/
[4] https://thaipolitictionary.wordpress.com/2011/10/28/สลิ่ม/
[5] https://voicetv.co.th/read/NLJokCFeT
[6] https://www.posttoday.com/politic/report/449348
[7] https://thestandard.co/phalang-pracharat-party-member/