รัฐบาลเดินหน้าแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5
รัฐบาลเดินหน้าแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5
🖎คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการศึกษาแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ของคณะกรรมาธิการการป้องกันและบรรเทาผลกระทบจากภัยธรรมชาติและสาธารณภัย สภาผู้แทนราษฎร โดยคณะกรรมาธิการฯ มีข้อสังเกตรวม 6 ประเด็น ได้แก่
(1) ควรกำหนดให้มีหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5
(2) ควรกำหนดให้การตรวจวัดปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 มีมาตรฐานเดียวกัน เพื่อให้เกิดความเป็นเอกภาพของข้อมูล
(3) ควรดำเนินการแจ้งเตือนภัยฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5
(4) ควรมีการพัฒนาและการวิจัยหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5
(5) ควรมีการจัดทำพื้นที่ปลอดฝุ่นหรือห้องปลอดฝุ่น (Safety Zone)
(6) ควรกำหนดให้มีกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5
ในประเด็นดังกล่าว กระทรวงมหาดไทยได้ร่วมประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยสรุปผลการพิจารณา ดังนี้
การกำหนดให้มีหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 เห็นว่ากระทรวงมหาดไทย ในฐานะที่เป็นส่วนราชการที่ทำหน้าที่หลักในการบริหารราชการแผ่นดินในพื้นที่ และใกล้ชิดกับประชาชนควรเป็นหน่วยงานหลักในการบังคับใช้กฎหมาย นโยบาย เพื่อจัดการปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ผ่านระบบ Single Command ที่มีอยู่ และ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ควรต้องทำหน้าที่เป็นหน่วยงานหลักในการสนับสนุนข้อมูล
ผลการพิจารณาเห็นว่า เนื่องจากคณะรัฐมนตรีได้มีมติ (12 กุมภาพันธ์ 2562) เห็นชอบให้การแก้ไขปัญหามลพิษด้าน ฝุ่นละอองเป็นวาระแห่งชาติ และให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเป็นกลไกหลักร่วมกับ ทส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ประกอบกับแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติการแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง ซึ่งผ่านการเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี (1 ตุลาคม 2562) กำหนดให้ มท. จังหวัด และ กทม. เป็นหน่วยงานหลักตามมาตรการที่ 1 การเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการเชิงพื้นที่ จึงควรถือเป็นหลักในการดำเนินการต่อไป
ระบบการวัดค่า การพยากรณ์คุณภาพอากาศและการแจ้งเตือนฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ที่ยังไม่เป็นมาตรฐานเดียวกัน ควรกำหนดการตรวจวัดปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ให้มีมาตรฐานเดียวกันทั้งในรูปแบบการพยากรณ์และ แจ้งเตือนในภาวะวิกฤต
ผลการพิจารณาเห็นว่า ปัจจุบันกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) เป็นหน่วยงานหลักในการกำหนดค่ามาตรฐานคุณภาพอากาศติดตามตรวจวัดฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 โดยได้มีการร่วมมือกับ กรมอุตุนิยมวิทยา สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (สทอภ.) กทม. และสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลสำหรับการวิจัยและพัฒนาระบบการตรวจอย่างต่อเนื่อง และได้มีช่องทางการแจ้งเตือนสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ผ่านแอปพลิเคชันและเว็บไซต์ โดยมีการรายงานข้อมูลแบบตอบสนองทันทีและสรุปรายงานต่อสถานการณ์ฝุ่นละอองผ่านสื่อสังคมออนไลน์ในช่วงวิกฤตเพื่อเผยแพร่ให้ประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบสถานการณ์และนำไปใช้ประโยชน์หรือสื่อสารข้อมูลต่อไป ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เห็นว่า การติดตั้งเครื่องตรวจวัดฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ยังไม่มีกฎหมายรองรับ และดำเนินการได้ยากเนื่องจากปล่องออกแบบไม่ได้รองรับการติดตั้งเครื่องตรวจวัดฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5
การส่งเสริมอาชีพในชุมชน โดยให้ชุมชนเป็นผู้ผลิตหน้ากากอนามัยในราคาที่ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ ควรพัฒนาและวิจัยหน้ากากอนามัยเพื่อการป้องกันปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5
ผลการพิจารณาเห็นว่า หน้ากากอนามัยที่ใช้สำหรับป้องกันฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ในทางเทคนิคมีขั้นตอนการผลิตที่ยากกว่าการผลิตหน้ากากผ้า รวมถึงต้องพิจารณาประเด็นต้นทุนการผลิตด้วย โดยการผลักดันประเด็นดังกล่าวต่อไปในอนาคต หน่วยงานต่าง ๆ อาทิ สธ. มท. กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) อก. ต้องร่วมกันดำเนินการให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันทั้งในส่วนของมาตรฐานการผลิตการเสริมสร้างทักษะ การควบคุมราคา การส่งเสริมด้านการตลาด รวมถึงพัฒนาระบบข้อมูลให้ประชาชนสามารถสืบค้นสถานที่จำหน่ายได้ง่าย
การประกาศเขตควบคุมมลพิษ ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 แทนการประกาศพื้นที่ควบคุมเหตุรำคาญตามพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 ควรจัดทำพื้นที่ปลอดฝุ่นหรือห้องปลอดฝุ่น
ผลการพิจารณาเห็นว่า การประกาศเขตควบคุมมลพิษตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 มีขั้นตอนกระบวนการที่ใช้ระยะเวลามากเนื่องจากต้องมีข้อมูลประกอบเหตุผลในการประกาศที่ชัดเจน และเห็นว่าการประกาศพื้นที่ควบคุมเหตุรำคาญตามพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 สามารถดำเนินการได้เร็วกว่า เนื่องจากเป็นอำนาจของเจ้าพนักงานท้องถิ่น ซึ่งกรมอนามัยได้จัดทำรายละเอียดเป็นคำแนะนำของคณะกรรมการสาธารณสุข เรื่อง การควบคุมป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพจากฝุ่นละออง พ.ศ. 2562 เพื่อเป็นคำแนะนำต่อส่วนราชการท้องถิ่นในการออกข้อบัญญัติท้องถิ่นและเจ้าพนักงานท้องถิ่นในการปฏิบัติตามกฎหมาย ทั้งนี้ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นพร้อมที่จะประชาสัมพันธ์ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดตั้ง Safe Zone ตามความจำเป็น โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ สธ. พิจารณา
การออกกฎหมายเพิ่มเติมเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5
ควรสนับสนุนให้มีการศึกษาเพื่อจัดทำร่างพระราชบัญญัติอากาศสะอาด
ผลการพิจารณาเห็นว่า ทส. และกรมอุตุนิยมวิทยาเป็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับประเด็นดังกล่าวโดยตรง จึงควรรับความเห็นในประเด็นดังกล่าวไปผลักดันและขยายผลให้เกิดเป็นรูปธรรมต่อไป
🖎ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยรับรายงานและข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการฯ ไปพิจารณาแล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน 30 วัน เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
🖎ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม กล่าวภายหลังประชุมคณะรัฐมนตรีถึงปัญหาค่าฝุ่น PM 2.5 ในพื้นที่ภาคเหนือ โดยเฉพาะ จ.เชียงใหม่ ครองอันดับหนึ่งเมืองที่มีอากาศแย่ที่สุดในโลก ว่า ยังมีการลักลอบเผาป่าและวัชพืชอย่างต่อเนื่อง ซึ่งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ชี้แจงว่าในส่วนของจุดความร้อน (Hotspot) ประเทศไทยลดลงกว่าปีที่ผ่านมาในช่วงเวลาเดียวกัน รวมถึงปัญหาฝุ่นละอองที่มาจากประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งนี้เราได้แสวงหาความร่วมมือและให้คำแนะนำในการแก้ไขปัญหา โดยส่วนของเราต้องลดจุดความร้อนให้ได้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเผาวัชพืช ซึ่งได้ย้ำว่าให้นำวัชพืชที่จะเผาไปทำอย่างอื่นที่เป็นประโยชน์ เช่น การเผาถ่านไว้ใช้ในหมู่บ้าน ในชุมชน และถ้าวันข้างหน้าเข้มแข็งขึ้นก็จะกลายเป็นวิสาหกิจชุมชน