วันที่ 4 ธันวาคมของทุกปี เป็น “วันสิ่งแวดล้อมไทย” กำหนดขึ้นเตือนให้ทุกคนนึกถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้นทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก รวมถึงปัญหาขยะพลาสติก มีข้อมูลจากผลสำรวจของกรีนพีช ประเทศไทย ที่ได้ลงพื้นที่สำรวจแบรนด์สินค้าจากขยะพลาสติก ปี 2563 โดยเก็บข้อมูลในพื้นที่บริเวณ ดอยสุเทพจ.เชียงใหม่ และหาดวอนนภา จ.ชลบุรี จำนวน 2 พื้นที่ พบประเภทขยะจำพวกถุงพลาสติก ขวดน้ำ หลอด ฝาขวดน้ำดื่ม จำนวนมาก
ซึ่งหากดูจากข้อมูลการสำรวจพื้นที่ตัวอย่าง แค่เพียง 2 จุดนั้น อาจจะยังไม่เพียงพอต่อการประเมินสักเท่าไหร่ เนื่องจากจุดที่ไปสำรวจเป็นเพียงพื้นที่แคบๆ ไม่สามารถสรุปได้ว่าแบรนด์ที่อ้างถึงนั้นเป็นตัวการก่อขยะในภาพรวมของทั้งประเทศ ทีนี้เราลองมาดูนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม ของแต่ละแบรนด์ เราก็พบว่าองค์กรเหล่านี้ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ที่ถูกครหาว่าเป็นแบรนด์ที่ก่อขยะพลาสติกมากติดอันดับต้นๆของประเทศ
แบรนด์ CP ได้เริ่มมีทิศทางที่ชัดเจนในเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้น มีการใช้นโยบายด้านแพ็กเกจจิ้งตามหลักการ ‘5Rs’ คือ การสร้างความตระหนักรู้ เพื่อให้ผู้บริโภคลดการสร้างของเสีย (Re-educate), การลดใช้พลาสติก (Reduce), การรีไซเคิลพลาสติก (Recycle), การใช้วัสดุทดแทน (Replace) และการค้นคว้าวิจัยและนวัตกรรม (Reinvent) พร้อมทั้งกำหนดเป้าหมายความยั่งยืนปี 2030 มุ่งสู่การเป็นองค์กร Zero Waste ลดขยะและของเสียให้เป็นศูนย์ และการมุ่งสู่การเป็นองค์กร Zero Carbon หรือองค์กรที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์
แบรนด์โคคา โคล่า ที่มีนโยบายเปลี่ยนโครงสร้างขวดหันมารีไซเคิลและหานวัตกรรมใหม่ทดแทน และประกาศวิสัยทัศน์ระดับโลก world without waste พร้อมกับเริ่มดำเนินการแก้ไขปัญหาผ่านการเลิกใช้พลาสติกหุ้มฝาขวดในประเทศไทยมาตั้งแต่ปี 2555 โดยมีเป้าหมายต่อไปคือการลดใช้พลาสติกในบรรจุภัณฑ์ โดยเปลี่ยนมาใช้วัสดุรีไซเคิลไม่น้อยกว่า 50% ภายในปี 2573
แบรนด์เป๊ปซี่โค จะใช้พลาสติกรีไซเคิลในบรรจุภัณฑ์ที่อัตราร้อยละ 25 ภายในปี ค.ศ. 2925 โดย ณ เดือน ก.ย. 2019 อยู่ที่ร้อยละ 4
อย่างไรก็ตามปัญหาเรื่องขยะ ไม่สามารถแก้ไขโดยคนๆเดียวได้ ต้องขับเคลื่อนไปทั้งสังคม ซึ่งนอกจากการปรับตัวของภาคผู้ผลิตแล้ว ภาครัฐต้องต้องให้ความสำคัญในเรื่องนี้เช่นกัน เช่น ออกนโยบายแปรรูปขยะ การนำขยะไปเป็นพลังงาน รวมถึงออกกฎหมายจัดการสิ่งแวดล้อมจัดการขยะพลาสติก เหมือนอย่างที่ทางยุโรปใช้เป็นมาตรฐานในการจัดการภาวะขยะพลาสติก ทำให้เกิดการ “แบน” พลาสติกขึ้น และค่านิยมเรื่องการงดให้ถุงพลาสติกในร้านค้าเป็นเรื่องปกติ
ซึ่งต้องยอมรับว่าในการเปลี่ยนแปลงนั้น ต้องแลกมากับต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น ทางแบรนด์ก็ต้องยอมเพิ่มค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ หากจะพิชิตเป้าหมายบนเส้นทางแห่งความยั่งยืนให้บรรลุผล