ใครขวางรถไฟไทย-จีน? โดย สิริอัญญา
ใครขวางรถไฟไทย-จีน?โดย สิริอัญญา วันอังคารที่ 29 กันยายน 2563
การเชื่อมต่อประเทศไทยเข้ากับเส้นทางสายไหมโดยเส้นทางรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ได้เริ่มขึ้นก่อนประเทศใด ๆ ในอาเซียน ซึ่งช่วงนั้นประเทศไทยเพิ่งเกิดสถานการณ์รัฐประหารใหม่ๆ กำลังถูกกดดันแทรกแซงจากชาติมหาอำนาจ ถึงขั้นที่ใกล้จะแซงก์ชั่นระดับรุนแรงกับ คสช.
ในสถานการณ์อันคับขันนั้นประธานาธิบดีปูตินและประธานาธิบดีสีจิ้นผิงได้มีแถลงการณ์แสดงความเชื่อมั่นต่อการตัดสินใจของกองทัพไทย และตั้งความหวังว่าประเทศไทยจะสามารถฝ่าฟันความยากลำบากได้ด้วยดี
จากนั้นอิหร่านและอินเดียก็ได้แสดงท่าทีไปในทางเดียวกัน ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนการเยี่ยมเยือนระดับรองนายกรัฐมนตรีระหว่างไทยกับอินเดียและระหว่างไทยกับอิหร่านตามมา
หลังจากนั้นความร่วมมือด้านต่าง ๆ ระหว่างไทยกับรัสเซีย จีน อินเดีย และอิหร่านก็เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และหนึ่งในโครงการความร่วมมือนั้นก็คือการเชื่อมต่อประเทศไทยเข้ากับเส้นทางสายไหมโดยรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ซึ่งจะเชื่อมต่อกับเส้นทางคุนหมิง-เวียงจันทน์ มายังจังหวัดหนองคาย
และจากจังหวัดหนองคายก็จะเชื่อมต่อมายังโคราช จากโคราชมายังกรุงเทพฯ และระหว่างทางคือที่จังหวัดสระบุรีก็จะเชื่อมต่อไปยังแหลมฉบัง มาบตาพุด ซึ่งแน่นอนว่าโครงการระยะถัดไปก็คือการเชื่อมต่อรถไฟความเร็วสูงจากกรุงเทพฯ ไปยังมาเลเซีย สิงคโปร์ บรูไน ผ่านภาคใต้ของประเทศไทยด้วย
พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และคณะได้เดินทางไปประเทศจีนและได้เจรจากับคณะผู้นำจีนที่เรือนรับรองเตี้ยวหยูไถ่ ในวันที่ 29 ตุลาคม 2557 โดยตกลงกันที่จะร่วมกันสร้างทางรถไฟความเร็วสูงดังกล่าว ทั้งนี้ฝ่ายไทยได้ขอให้จีนช่วยรับซื้อข้าวเน่าซึ่งล้นคลังทั้งประเทศจำนวน 1 ล้านตัน ข้าวใหม่ 1 ล้านตัน เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรไทย พร้อมด้วยยางพาราอีก 200,000 ตัน
สภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ให้ความเห็นชอบข้อตกลงความร่วมมือระหว่างรัฐบาลทั้งสอง และต่อมาได้มีการลงนามในข้อตกลงกันที่กรุงเทพฯ โดยนายกรัฐมนตรีไทยและจีนเป็นสักขีพยานให้แก่การลงนามความร่วมมือดังกล่าวระหว่างส่วนราชการของทั้งสองประเทศ
หลังจากนั้นพลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ซี่งเป็นผู้รับผิดชอบโครงการรถไฟความเร็วสูงและคณะผู้แทนฝ่ายไทยได้ประชุมทำความตกลงกับคณะผู้แทนฝ่ายจีนในส่วนที่เกี่ยวกับรถไฟ กำหนดแบบรางให้เป็นแบบมาตรฐาน กำหนดความเร็วที่ 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และกำหนดประเภทการใช้งานให้ใช้งานขนส่งได้ทั้งคนและสินค้า
ได้มีการจัดทำแผนการก่อสร้างตามข้อตกลงที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติเห็นชอบทั้งสามเส้นทาง คือ หนองคาย-โคราช, โคราช-กรุงเทพฯ และสระบุรี-แหลมฉบัง-มาบตาพุด โดยกำหนดแผนงานการก่อสร้างแล้วเสร็จทั้งหมดในปี 2565
ความตกลงดังกล่าวเกิดขึ้นและสำเร็จก่อนประเทศอาเซียนใด ๆ แต่แล้วก็เกิดการพลิกผันขึ้น ประเทศที่เคยแสดงท่าทีกดดันข่มเหงจะแซงก์ชั่นประเทศไทยได้พลิกท่าทีใหม่ หันมาเอาอกเอาใจ จากนั้นความเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้น
เริ่มจากการเปลี่ยนแปลงรัฐมนตรีคมนาคม โดยรัฐมนตรีใหม่และรองนายกรัฐมนตรีผู้รับผิดชอบซึ่งเปลี่ยนใหม่ได้เปลี่ยนนโยบายจากข้อตกลงเดิมที่ว่าจ้างจีนดำเนินการให้เป็นการร่วมลงทุน ซึ่งต้องมีการเจรจาเรื่องการลงทุนกันใหม่ จากนั้นก็มีข่าวคราวการโจมตีโครงการนี้อย่างขนานใหญ่
หลังจากนั้นก็มีการเปลี่ยนแปลงข้อตกลงใหม่อีก จากแนวความคิดที่จะร่วมกันลงทุนกลับมาเป็นการว่าจ้าง โดยรัฐบาลไทยเป็นผู้ว่าจ้าง
จากนั้นก็เปลี่ยนแปลงโครงการอีกครั้งหนึ่ง คือแทนที่จะสร้างทางรถไฟต่อเนื่องกันก็ตกลงที่จะก่อสร้างเพียงเส้นทางเดียวก่อน คือกรุงเทพฯ-โคราช ระยะทาง 200 กว่ากิโลเมตร ซึ่งมีฐานะเป็นเพียงเส้นทางรถไฟภายในประเทศ
ถ้าจะเบี้ยวกันอย่างนี้และเบี้ยวกันให้ถูกต้องก็ขอสร้างเพียงสถานีเดียวก่อนก็ยังดีกว่า คือจากสถานีจังหวัดหนองคายข้ามแม่น้ำโขงระยะทาง 16 กิโลเมตร ไปยังนครเวียงจันทน์ก็จะเชื่อมต่อกับเส้นทางสายไหมของโลกได้ และจะรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเข้ามาประเทศไทยได้ที่จังหวัดหนองคาย
แต่กลับไม่ทำเช่นนั้น และทำข้อตกลงที่จะสร้างเส้นทางภายในประเทศก่อน คือจากกรุงเทพฯ ไปยังโคราช
จากนั้นก็เปลี่ยนแปลงโครงการใหม่อีกครั้งหนึ่ง จากเส้นทางสายเดียวกรุงเทพฯ-โคราช ก็ตกลงกันที่จะแบ่งการก่อสร้างออกเป็นสี่ช่วง คือจากบ้านกลางดงมายังบ้านปางอโศก ระยะทาง 3.5 กิโลเมตร, จากบ้านปางอโศกเข้ามายังทางกรุงเทพฯ ระยะทาง 10 กิโลเมตรเศษ และจากปลายทางดังกล่าวเข้ามาทางกรุงเทพฯ ราว 100 กิโลเมตร และจากบ้านกลางดงไปยังโคราชอีกราว 100 กิโลเมตร เมื่อแบ่งเป็นสี่ช่วงดังกล่าวแล้วก็ตกลงกับจีนขอเริ่มช่วงแรกก่อน แต่มอบให้กรมทางหลวงซึ่งไม่เคยทำทางรถไฟเป็นผู้จัดทำ
ในขณะที่จีนได้รับซื้อข้าวเน่า ข้าวดี และยางพาราเรียบร้อยไปแล้ว และบัดนี้เวลาผ่านไปสองปีครึ่งนับแต่เริ่มการก่อสร้างช่วงแรก เส้นทางมหัศจรรย์ของโลกคือทางรถไฟระยะทาง 3.5 กิโลเมตร ที่เริ่มต้นสร้างจากกลางดงกลางป่าก็จะแล้วเสร็จลงในปลายเดือนกันยายนศกนี้ ใช้เวลาก่อสร้างรวม 2 ปี 6 เดือน ก็นึกดูกันเองก็แล้วกันว่าอีกสามช่วงที่เหลือระยะทาง 200 กว่ากิโลเมตร จะใช้เวลาสักกี่ปี
และเส้นทางจากสระบุรีไปแหลมฉบัง มาบตาพุด รวมทั้งจากโคราชไปยังหนองคาย จะต้องใช้เวลาอีกกี่สิบปี ในขณะที่รถไฟจีน-ลาว ซึ่งตกลงกันหลังประเทศไทยนับปี ระยะทางเกือบ 300 กิโลเมตร ผ่านหุบเขา ภูเขา เหวลึก จะแล้วเสร็จในปลายปี 2564 นี้
ปรากฏการณ์ดังกล่าวไม่ใช่เรื่องปกติ จึงต้องตั้งคำถามกันว่าใครขัดขวางโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน?