“รยุศด์” ชี้ วิสัยทัศน์ “บิ๊กตู่” สวนกระแส ตกขอบยุคสมัย แนะรัฐบาลเปิดใจรับฟังให้เร็ว ก่อนสถานการณ์บานปลาย
“รยุศด์” ชี้ วิสัยทัศน์ “บิ๊กตู่” สวนกระแส ตกขอบยุคสมัย แนะรัฐบาลเปิดใจรับฟังให้เร็ว ก่อนสถานการณ์บานปลาย
นายรยุศด์ บุญทัน ผู้ร่วมก่อตั้งพรรคสามัคคีไทย กล่าวว่า จากวันแรกที่กลุ่มนักศึกษาและประชาชนเริ่มออกมาชุมนุม รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา คงไม่คาดฝันมาก่อนว่าจะเป็นการสร้างจุดเปลี่ยนและสร้างแรงบันดาลใจให้กับอีกหลายๆ คนในสังคมเห็นว่ายังมีกลุ่มคน โดยเฉพาะเยาวชนคนรุ่นใหม่จำนวนมากที่ต้องการจะเห็นความเปลี่ยนแปลงและไม่ยอมสยบต่อระบอบอำนาจนิยม ผ่านการเสนอข้อเรียกร้องของแต่ละกลุ่มการชุมนุม ไม่ว่าจะเป็น 3 ข้อเรียกร้อง 2 จุดยืน 1 ความฝัน ของกลุ่มประชาชนปลดแอก หรือข้อเรียกร้อง 10 ข้อ จากกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ซึ่งที่ผ่านมาแม้จะมีบางฝ่ายพยายามบั่นทอนความชอบธรรมให้กับการชุมนุม รวมถึงการมีเจ้าหน้าที่เข้าไปคุกคามประชาชนเพื่อสร้างความหวาดกลัวให้กับแกนนำ หรือผู้ชุมนุมก็ตาม
นายรยุศด์ กล่าวต่อว่า การแถลงการณ์ล่าสุดเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2563 ของพลเอกประยุทธ์ ที่ได้ออกมาย้ำว่าการชุมนุมในวันที่ 19 กันยายนนี้ไม่เพียงแต่จะสร้างความเสี่ยงในการระบาดของเชื้อโควิด-19 แต่ยังเป็นการทำลายเศรษฐกิจของประเทศ และลดความเชื่อมั่นของนักลงทุน ซึ่งการแสดงออกเช่นนี้สังคมอาจจะมองว่าเป็นการส่งสัญญานจากรัฐบาลถึงการไม่ยอมรับข้อเรียกร้องของกลุ่มผู้ชุมนุม และไม่พร้อมที่จะเปิดการเจรจาและรับฟังข้อเสนอของผู้ชุมนุม ถึงแม้ข้อเรียกร้องต่างๆ อาจเป็นสิ่งที่ทำให้คนในรัฐบาลรู้สึกไม่สบายใจเพราะมีความแปลกใหม่ไปจากข้อเรียกร้องต่างๆ ของการชุมนุมที่ผ่านๆ มา แต่ ณ วันนี้ต้องยอมรับว่าข้อเรียกร้องเหล่านั้นอยู่ในกรอบของกฎหมายที่สามารถทำได้และยังคงไว้ซึ่งรูปแบบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ดังนั้นพลเอกประยุทธ์และคนในรัฐบาลจึงควรที่จะเปิดใจรับฟังและร่วมหาทางออกกับกลุ่มผู้ชุมนุมให้เร็วที่สุดก่อนสถานการณ์บานปลายและไปไกลมากยิ่งขึ้น ซึ่งรัฐบาลเองควรเรียนรู้ได้แล้วว่ากระแสความไม่พอใจและความต้องการการเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่ไม่อาจหยุดได้ ถึงแม้จะมีการใช้เครื่องมือทางกฎหมายกับกลุ่มแกนนำ แต่ก็ไม่ได้ทำให้กระแสของสังคมชะงักลงไปแม้แต่น้อย การปฏิเสธที่จะรับฟัง และไม่ยอมหันหน้าเข้าพูดคุยกับผู้ชุมนุมอย่างจริงใจต่างหากที่จะเป็นการสร้างความเสียหายให้กับประเทศ ทำลายเศรษฐกิจ และความเชื่อมั่นของนักลงทุนตามที่พลเอกประยุทธ์ได้กล่าวอ้างไว้
นายรยุศด์ กล่าวทิ้งท้ายว่า การที่ สว. จำนวนหนึ่งออกมาสนับสนุนให้มีการแก้รัฐธรรมนูญและยอมที่จะปิดสวิตช์ของตนเองนั้น แสดงให้เห็นว่าแม้แต่กลุ่มผู้สนับสนุนพลเอกประยุทธ์เอง ก็เริ่มมองเห็นแล้วว่าแนวทางของรัฐบาลและของพลเอกประยุทธ์ เป็นสิ่งที่สวนกระแสธารของยุคสมัย การยึดโยงอยู่กับแนวคิดในการปกครองประเทศในรูปแบบเดิม กำลังจะเป็นสิ่งที่ตกขอบของยุคสมัยไป และการเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่อย่างไรก็ต้องเกิดขึ้น เพียงแต่จะเกิดขึ้นช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง เวลานี้พลเอกประยุทธ์และกลุ่มผู้สนับสนุนควรไตร่ตรองให้ดีว่าจะเลือกอยู่ฝั่งใดในกระแสของการเปลี่ยนแปลงนี้ หากยังยึดแนวทางแบบเดิมชื่อของพวกท่านอาจถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ของไทยว่าเป็นกลุ่มคนที่ขัดขวางการเจริญเติบโตของประชาธิปไตยของไทยก็เป็นได้