ขณะที่ทองวิ่งฉิว ทุบสถิติใหม่ แต่น้ำมันนั่งพับเพียบอยู่กับที่เป็นเดือนๆ … ทำไม?
ขณะที่ทองวิ่งฉิว ทุบสถิติใหม่ แต่น้ำมันนั่งพับเพียบอยู่กับที่เป็นเดือนๆ … ทำไม?
ไม่ใช่อย่างที่เข้าใจกันว่าเป็นเรื่องของ “มนุษย์”!
ทั่วไปมักคิดว่า 1. โลกยังไม่อาจกลับมา “เปิดเมือง” ได้เต็มที่ รถยังไม่แล่นเต็มถนน โรงงานยังไม่เดินเครื่องจักรเต็มสูบ ---> การใช้น้ำมันไม่ฟื้น ราคาย่อมไม่กระเตื้อง
2. งี้ถ้า “เปิดเมือง” ไม่ได้เต็มที่ คนเลยแก้เซ็งด้วยการซื้อทางมาเขวี้ยงเล่น ทองเลยขึ้นกระนั้นหรือ? ย่อมไม่ใช่ … แล้วทองจะขึ้นจากอะไร?
3. กิจกรรมของ “มนุษย์” หดหายนะครับท่าน มหกรรมทั้งหลายแหล่ “งด”! ยกตัวอย่าง งานแต่งในอินเดียจัดไม่ได้ ฉะนั้น “สินสอดทองหมั้น” จอดนิ่งยิ่งกว่ารถซะอีก (วัฒนธรรมอินเดีย เจ้าสาวต้องเป็นฝ่ายให้เจ้าบ่าว)
.
แถมต่อให้สมมติเปิดเมืองเต็มร้อย แต่ช่วงนี้หน้ามรสุม ไม่ใช่ฤดูแต่งงาน
(อินเดียเคร่งครัด! ตามปฏิทินฮินดูนั้น ไม่ใช่ทุกเดือนที่แต่งได้ และแต่ละปีก็ไม่เหมือนกันเป๊ะซะทีเดียว แต่ที่แน่ๆไม่ใช่หน้าฝนตกชุก (ตอนนี้ไง! ส.ค.) --- ซึ่งชัดเจนเลยว่า ณ เดือนบอด จะกระทบยอดซื้อทองโลกให้ฮวบฮาบอย่างไม่ต้องสงสัย!) ---> อ้าว เช่นนี้แล้ว ที่ผ่านมาทองก็ต้องลงสิ ทำไมตรงข้าม!?
.
ก็มันแทบไม่เกี่ยวกับการใช้ไม่ใช้ของ “มนุษย์” เลย แต่เป็นเรื่องของ “กองทุน” น่ะสิ
จำได้มั้ย ที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ในอเมริกาเกิดปรากฏการณ์ “ติดลบ” ก็เพราะกองทุนจำพวก ETF “ขายทิ้ง” ถล่มทลาย … แล้วถามว่าทุกวันนี้หวนกลับมาซื้อแค่ไหนล่ะ … ?
ก่อนอื่น ต้องอธิบายว่า “ธรรมชาติ” มันต่างกันคนละขั้วเลย
กองทุนทองซื้อทองที่เป็นทองจริงๆ ทองเป็นก้อน หนักเป็นตัน แต่กองทุนน้ำมันซื้อสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ฟิวเจอร์) --- ว่าง่ายๆ ก็คือซื้อ “กระดาษออนไลน์” ไม่มีเนื้อน้ำมันจริงๆเป็นหยดๆแม้สักลิตรเดียว!
.
{ แทรกสั้นๆ ขออนุญาตบังอาจดัดจริตใช้ภาษาวิชาการให้เพจแลดูเป็นผู้ลากมากดีนิดๆ : เท่ากับว่าการที่กองทุนทองซื้อแม้ไม่ใช่ demand จาก real sector เลย แต่มันเสมือนหนึ่ง generate ออกมาคล้ายดั่งเป็น real demand (เพราะมันซื้อทองเป็นแท่งๆจริงๆ ถึงจะไม่ได้เอามาใช้ก็เหอะ พอกล้อมแกล้มได้)
แต่กองทุนน้ำมันน่ะ “มายา” ล้วน เพราะซื้อฟิวเจอร์แบบนี้ มันไม่ส่งผ่านมาถึง physical ได้เลย }
.
สรุป คือ เวลากองทุนทองซื้อมันจะส่ง “น้ำหนัก” ไปดันฐานของตัวสินค้าจริงๆได้มากกว่ามาก
แล้วตอนนี้ ใครซื้อเท่าไหร่ล่ะ?
มองภาพรวม ยอดสะสมของปีนี้ถึงปัจจุบัน กองทุนจำพวก ETF หมวด “พลังงาน” ซื้อไปราวๆ 1.7 หมื่นล้านดอลลาร์
ส่วนกองทุนหมวด “โลหะมีค่า” ซัดไปราวๆ 4.8 หมื่นล้านดอลลาร์ --- เยอะกว่ากันเกือบๆ 3 เท่า!!! (ตัวเลขจาก Citi Research)
ก็ไม่แปลก ที่ผลมันจะสะท้อนออกมาที่ราคาเยี่ยงนี้!
.
ยิ่งกว่านั้น นักลงทุนในตลาดฟิวเจอร์ COMEX ที่อเมริกา ปกติจะไม่รับของ เพราะเก็งกำไรจากการซื้อขายสัญญาซะแทบทั้งนั้น แต่ตอนนี้รับกันตรึม!
ณ สิ้นเดือน ก.ค. นี้ มีถึง 32,732 สัญญา ที่เบิกรับทองแท่งจริงๆ สูงสุดเป็นประวัติการณ์ --- เท่ากับทอง 3,273,200 ออนซ์!!!
(เหตุขับเคลื่อนคือ “ส่วนต่าง” ที่ถ่างกว้างของราคาฟิวเจอร์ที่นิวยอร์ก กับ ราคาทองแท่งที่ลอนดอน ซึ่งเพจเคยอธิบายไปยืดยาวแล้ว)
นั่นก็ยิ่งทำให้ “โลกลงทุน” ของฟิวเจอร์ทอง ส่ง “น้ำหนัก” ไปยังโลกของทองจริงๆมากขึ้น
ตรงข้ามกับฟิวเจอร์น้ำมัน ที่ตอนนี้หาคนอยากรับของจริงๆยาก! เพราะน้ำมันล้นถัง หาที่เก็บแทบไม่ได้! --- ยิ่งทำให้ “โลกลงทุน” ของน้ำมันถอยห่าง ไม่เชื่อมต่อกับโลกของน้ำมันจริงๆเข้าไปอีก
(ปกติ ตลาดฟิวเจอร์น้ำมันจะมูลค่าใหญ่กว่าการใช้น้ำมันจริงๆของมนุษย์เกิน 10 เท่า!)
.
นี่ยังไม่นับเรื่องที่กองทุนน้ำมันปรับกลยุทธ์ขนานใหญ่ กระจายจากลงทุนสัญญาเดือนใกล้สุด ออกสู่เดือนไกลๆออกไป ยิ่งทำให้ “แรง” ที่ดันราคาหน้าสุดยิ่งลดน้อยถอยลงไปอีก
และยังไม่ได้ว่าถึง hedge fund ทั่วไปที่ช่วงนี้ย่อมเลือกกระโจนเข้าทองมากกว่าน้ำมันด้วยซ้ำ (ในส่วนสำหรับ hedge against inflation ซึ่งเคยอธิบายยาวๆไปแล้ว)
.
สรุปแล้ว มองไปข้างหน้า จะยิ่งเห็นความแตกต่างเหลือหลาย ด้วยประการฉะนี้แล
น้ำมันจึงยืนสงบนิ่งอยู่อย่างนั้น มองทองที่บินไปถึงไหนต่อไหนตาละห้อย …
และสมมติต่อให้น้ำมันขึ้นนะ แต่ขึ้นไงก็ไม่มีทางหวือหวาได้เท่าทองแน่ๆ
อัตราเร่งต่าง แรงเหวี่ยงต่าง น้ำหนักก็ต่าง ดังที่ได้กล่าวมา
เว้นแต่จะมีสักบึ้มสองบึ้มที่ไหนสักแห่งบนโลกช่วยกระตุ้นน้ำมันให้คึก ... แต่ทองก็จะขึ้นมากกว่าอยู่ดีนั่นแหละ
Cr.เดือดทะลังจุดแตก