19 มิ.ย. นี้ พบกับโฉมใหม่ของอู่ตะเภา ทร. ถอยให้เอกชนบริหาร
19 มิ.ย. นี้ พบกับโฉมใหม่ของอู่ตะเภา ทร. ถอยให้เอกชนบริหาร
ท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภานั้นถูกกำหนดให้เป็นศูนย์กลางในการพัฒนาพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (#EEC) และจังหวัดใกล้เคียง โดยใช้แนวคิดของเมืองการบินหรือ #Aerotropolis ในการพัฒนา ซึ่งประเทศไทยได้ Dr. John D. Kasarda ผู้เป็นต้นกำเนิดแนวคิดนี้มาเป็นที่ปรึกษาให้รัฐบาลไทยในการดำเนินโครงการ เพื่อสร้างท่าอากาศยานอู่ตะเภาให้เป็นแรงกระตุ้นในการพัฒนาเมืองเช่นเดียวกับที่ปักกิ่ง เอเธน ดัลลาส เดย์ตัน เฮลซิงกิ หรืออินชอน
ซึ่งพื้นที่ภาคตะวันออกของไทยนั้นมีความเหมาะสมที่เฉพาะตัวและหาได้ยากในการพัฒนา Aerotropolis เมื่อเทียบกับที่อื่น ๆ ของโลก เพราะมีโครงข่ายขนส่งที่หลากหลายทั้งถนน ท่าเรือ รถไฟ และรถไฟความเร็วสูงที่กำลังจะจัดสร้าง รวมถึงการมีอุตสาหกรรมพื้นฐานโดยรอบ ๆ พื้นที่จำนวนมาก และยังมีเมืองท่องเที่ยวระดับโลกอย่างพัทยา สิ่งเหล่านี้ทำให้ท่าอากาศยานอู่ตะเภาจะต้องมีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้พื้นที่ภาคตะวันออกของไทยมีการพัฒนาเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมตามแนวคิด Aerotropolis
--------------------
ดังนั้น รัฐบาลจึงมีนโยบายในการขอพื้นที่ท่าอากาศยานอู่ตะเภาคืนจากกองทัพเรือ โดยเฉพาะในส่วนของอาคารผู้โดยสารและส่วนปฏิบัติการบินต่าง ๆ แต่ยังคงพื้นที่ฐานทัพเรือและฝูงบินเอาไว้สำหรับกองทัพเรือใช้งาน เพื่อนำมาพัฒนาให้ได้ตามแนวคิด Aerotropolis ซึ่งมีการเปิดประมูลให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาท่าอากาศยานอู่ตะเภาเพื่อลดการลงทุนจากภาครัฐ
ซึ่งการประมูลนั้นมีสามกลุ่มเข้าร่วมประมูลคือ
- กลุ่มกิจการร่วมค้า BBS (#BangkokAirways, #BTS Group, Sino-Thai Engineering)
- กลุ่ม Grand Consortium (Grand Estate, Christiani and Nielsen, Thai Air Asia)
- กลุ่มกิจการร่วมค้าบริษัท ธนโฮลดิ้ง จำกัด (CP Group, Italian-Thai Development, ช. การช่าง)
ยื่นข้อเสนอเข้าร่วมประมูล ซึ่งรัฐจะลงทุน 2.9 แสนล้าน เอกชนลงทุนอีก 2.7 แสนล้าน แลกกับการที่จะได้สัมปทานบริหารท่าอากาศยานอู่ตะเภา 50 ปี โดยมีคณะกรรมการจัดเลือกเอกชนที่มีผู้บัญชาการทหารเรือเป็นหัวหน้าคณะคัดเลือก ซึ่งผลปรากฎว่ากลุ่มกิจการร่วมค้า BBS เป็นผู้ชนะการประมูล เนื่องจากเสนอผลตอบแทนให้รัฐกว่า 3 แสนล้านบาท ทิ้งห่างอันดับสองและสามไปกว่าสองแสนล้านบาท
--------------------
ในวันที่ 19 มิถุนายนนี้ จะมีการลงนามในสัญญาระหว่างรัฐบาลและกลุ่มกิจการร่วมค้า BBS เพื่อเริ่มดำเนินโครงการอย่างเป็นทางการ หลังจากที่กองทัพเรือส่งมอบพื้นที่ท่าอากาศยานอู่ตะเภาคืนให้กับรัฐเรียบร้อยแล้ว แต่กองทัพเรือยังมีภารกิจคือการก่อสร้างรันเวย์ที่สองของท่าอากาศยานอู่ตะเภาที่ยังต้องรอส่งมอบพื้นที่ต่อไป
เพื่อรองรับโครงการนี้ กลุ่มกิจการร่วมค้า BBS ได้จัดตั้งบริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัดมาเป็นนิติบุคลเฉพาะกิจ (SPV) ที่มีทุนจดทะเบียนสูงถึง 4.5 พันล้านบาท ในการลงนามสัญญาร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก โดยมีผู้ถือหุ้นประกอบด้วย
- Bangkok Airways ถือหุ้น 45%
- กลุ่ม BTS ถือหุ้น 35%
- บริษัท Sino Thai ถือหุ้นอีก 20%
Bangkok Airways ซึ่งเป็นบริษัทนำ (Lead Firm) ในโครงการนี้มีประสบการทั้งในการบริหารสายการบิน Bangkok Airways ที่ถือเป็นสายการบินระดับภูมิภาคที่ถูกจัดอันดับให้เป็นสายการบินภูมิภาคยอดเยี่ยมที่สุดในโลกติดต่อกันมาหลายปี และมีประสบการณ์ในการบริหารท่าอากาศยานหลายแห่งในประเทศทั้งตราด สุโขทัย หรือสมุย แต่สำหรับท่าอากาศยานอู่ตะเภาที่มีขนาดใหญ่และมีความซับซ้อนในการบริหารงานมากกว่ามาก ทางกลุ่มได้เลือกบริษัท Narita International Airport Corporation (NAA) ผู้บริหารท่าอากาศยานนาริตะของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งทำผลงานเป็นท่าอากาศยานที่ดีที่สุดในโลกอันดับที่ 7 มาเป็นผู้บริหารท่าอากาศยานอู่ตะเภาในครั้งนี้ ส่วนกลุ่ม BTS ที่มีประสบการณ์ในการเดินรถไฟฟ้า และกำลังเข้ารับหน้าที่บริหารมอเตอร์เวย์ จะมาช่วยในการบริหารระบบขนส่งมวลชนทั้งในและโดยรอบท่าอากาศยาน ส่วนผู้รับหน้าที่ก่อสร้างก็คือ Sino-Thai Engineering นั่นเอง
--------------------
การก่อสร้างและปรับปรุงท่าอากาศยานอู่ตะเภาจะแบ่งเป็น 4 ระยะคือ
- ระยะที่ 1 เป็นการสร้างอาคารผู้โดยสารหลังที่ 3 พร้อมกับการสร้างรันเวย์ที่ 2 ที่กองทัพเรือและรัฐบาลจะลงทุนสร้างให้ พร้อมกับเชื่อมต่อกับโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงสามสนามบินของกลุ่ม CP รวมถึงพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ในท่าอากาศยาน ซึ่งจะทำให้ท่าอากาศยานอู่ตะเภารองรับผู้โดยสารได้ 15 ล้านคนต่อปี คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2567
- ระยะที่ 2 ขยายการรองรับผู้โดยสารไปที่ 30 ล้านคน และจัดทำระบบขนส่งมวลชนเพื่อรองรับการเดินทางของประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียงเข้ามายังท่าอากาศยาน
- ระยะที่ 3 เพิ่มการรองรับผู้โดยสารไปที่ 45 ล้านคน
- ระยะที่ 4 เพิ่มการรองรับผู้โดยสารไปที่ 60 ล้านคน
โดยงบประมาณการลงทุนในระยะที่ 1 นั้นเป็นจำนวน 4 หมื่นล้านบาท และจะทำการลงทุนในระยะที่ 2 เมื่อมีจำนวนผู้โดยสาร 85% ของความจุผู้โดยสารในระยะแรก นอกจากนั้นยังมีการจัดสร้างศูนย์การขนส่งสินค้า การขนส่งสินค้าภาคพื้นดิน ธุรกิจเกี่ยวเนื่องต่าง ๆ เพื่อช่วยหารายได้นอกจากการปฏิบัติการบินอย่างเดียว
--------------------
ไม่แน่ว่า ด้วยการบริหารอย่างมืออาชีพทั้งผู้เชี่ยวชาญจาก Narita และ Bangkok Airways รวมถึงความเชี่ยวชาญเฉพาะของ BTS และ Sino ไทย โดยเฉพาะบทบาทของอู่ตะเภาที่จะมาอุดช่องว่างของสุวรรณภูมิในด้านการชนส่งสินค้า เราอาจจะได้เห็นท่าอากาศยานที่มีประสิทธิภาพและมีการบริหารงานที่โดดเด่น ซึ่งเผลอ ๆ อาจจะดีกว่าการบริหารงานที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิด้วยซ้ำ และถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผนและแนวคิด Aerotropolis ได้ถูกนำมาใช้งานจริงอย่างครบถ้วน ท่าอากาศยานอู่ตะเภาก็จะเปลี่ยนจากฐานทัพของเครื่องบินทิ้งระเบิด B-52 ของกองทัพอากาศสหรัฐในสงครามเวียดนาม มาเป็นท่าอากาศยานของกองทัพเรือและเครื่องบินเช่าเหมาลำ ไปสู่ท่าอากาศยานหลักแห่งหนึ่งของชาติ ที่จะช่วยพัฒนาเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม การท่องเที่ยว การขนส่งให้กับประเทศไดัต่อไปครับ/TAF
https://www.eeco.or.th/…/โคร%…
ขอบคุณ ThaiArmedForce.com
https://www.facebook.com/thaiarmedforce/posts/10158687232244612